posttoday

ตำรวจแถลงจับยาเสพติด3คดีใหญ่ยึดของกลางมูลค่ากว่า2พันล้าน

18 กันยายน 2561

ตำรวจปราบปรามยาเสพติด แถลงจับกุมยาเสพติด 3 คดีใหญ่ ผู้ต้องหา 13 คนของกลางมูลค่ารวมกว่า 2 พันล้านบาท ยึดทรัพย์เกือบ 5 ล้าน

ตำรวจปราบปรามยาเสพติด แถลงจับกุมยาเสพติด 3 คดีใหญ่ ผู้ต้องหา 13 คนของกลางมูลค่ารวมกว่า 2 พันล้านบาท ยึดทรัพย์เกือบ 5 ล้าน

เมื่อวันที่ 18 ก.ย. ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข ผบช.ปส. พล.ต.ต.ทนัย อภิชาตเสนีย์ รอง ผบช.ปส. เจ้าหน้าที่ บช.ปส. กรมศุลกากร สำนักงาน ป.ป.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงผลการจับกุมคดียาเสพติด จำนวน 3 คดี สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 13 คน ของกลาง ยาบ้า 10,000,000 เม็ด เฮโรอีน 37 กก. ไอซ์ 2.06 กก. และกัญชา 917 กก. รวมมูลค่ายาเสพติดกว่า 2,043,645,000 บาท และตรวจยึดทรัพย์สินเป็นรถยนต์ 7 คัน โทรศัพท์มือถือ 24 เครื่อง มูลค่า 4,960,000 บาท

คดีที่ 1 เมื่อวันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สกส.บช.ปส. ร่วมกับด่านศุลกากรแม่สอด ร่วมกันจับกุม นายประวิทย์ แซ่ม้า อายุ 67 ปี นางยิ้ง แซ่ม้า อายุ 54 ปี นางนภา กิจพาณิชย์สกุล อายุ 33 ปี นางกื๋อ แซ่ม้า อายุ 49 ปี ทั้งหมดเป็นชาว ต.คีรีราษฎร์ อ.พบพระ จ.ตาก และเป็นครือญาติกัน พร้อมของกลาง ยาบ้ารวม 10,000,000 เม็ด และเฮโรอีน น้ำหนักรวม 37 กก. รถยนต์กระบะบรรทุกติดตั้งโครงเหล็ก ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นรีโว่ ทะเบียน บห 4421 พิษณุโลก 1 คัน (ใช้ลำเลียงยาเสพติด) รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อมาสด้า รุ่นมาสด้า 3 สีขาว ทะเบียน กม 3604 พิษณุโลก 1 คัน (ใช้นำทางและคุ้มกัน) และโทรศัพท์มือถือ จำนวน 7 เครื่อง โดยสามารถจับกุมนายประวิทย์กับนางยิ้ง ได้ที่บริเวณริมถนนสายเลี่ยงเมืองสุโขทัย-ตาก (ถนน 205) ระหว่าง กม.15+200-300 ต.บ้านกล้วย อ.เมืองสุโขทัย จ.สุโขทัย ก่อนขยายผลจับกุมนางนภาและนางกื๋อ ได้บริเวณริมถนนสายสุโขทัย-คีรีมาศ (ทางหลวงหมายเลข 101) หน้าศูนย์ส่งเสริมการเลี้ยงโคนม อ.คีรีมาศ จ.สุโขทัย

สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้รับแจ้งจากสายลับว่า จะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจาก จ.เชียงราย ผ่านพื้นที่ จ.สุโขทัย ปลายทาง จ.พระนครศรีอยุธยา จึงวางแผนและนำกำลังเฝ้าระวังในเส้นทางหลักและเส้นทางรอง กระทั่ง พบรถกระบะต้องสงสัยทะเบียนตรงกับที่สายลับแจ้งไว้ขับมา ตำรวจจึงติดตามจนพบรถกระบะคันดังกล่าวจอดอยู่บริเวณถนนสายเลี่ยงเมืองสุโขทัย-ตาก จ.สุโขทัย เป็นเวลานานกว่า 2 ชม.โดยไม่มีคนลงจากรถ เจ้าหน้าที่จึงเข้าตรวจค้น พบนายประวิทย์กับนายิ้ง อยู่ในรถ จากการตรวจสอบภายในและด้านหลังรถกระบะ พบยาบ้าและเฮโรอีนจำนวนมากบรรจุอยู่ในกระสอบโดยมีกระสอบมูลไก่วางอำพรางไว้ จึงจับกุมตัวทั้งสอง ก่อนขยายผลจนจับกุมนางนภาและนางกื๋อ พร้อมรถยนต์เก๋งที่ทำหน้าที่เป็นรถดูเส้นทางได้ในภายหลัง เบื้องต้น แจ้งข้อหา ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้าและเฮโรอีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ดำเนินคดี

คดีที่ 2 เมื่อวันที่ 15 ก.ย. เจ้าหน้าที่ บก.ปส.3 บช.ปส. ร่วมกับ สำนักงาน ป.ป.ส. กรมศุลกากร และศูนย์รักษาความปลอดภัยตามโครงการ AITF จับกุม นายอีเมก้า จอห์น โอบิมมา อายุ 41 ปี ชาวไนจีเรีย นายไอซีดอร์ เรย์น อายุ 61 ปี ชาวนิวซีแลนด์ และน.ส.วรารัตน์ จันสด อายุ 37 ปี พร้อมของกลาง ไอซ์ น้ำหนัก 2.06 กก. กระเป๋าเอกสาร 1 ใบ โทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง และธนบัตรใบละ 100 ดอลล่าร์สหรัฐ รวม 5 ใบ สามารถจับกุมได้ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง (โรแมนช์โฮเทล) ย่านสุขุมวิท กทม.

สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งว่า จะมีผู้มารับยาเสพติดจากเครือข่ายชาวแอฟริกาในประเทศไทย เพื่อนำส่งให้ลูกค้าที่ประเทศนิวซีแลนด์ จึงเฝ้าสังเกตการณ์ จนพบผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ลักษณะมีพิรุธ จึงแสดงตนและทำการตรวจค้น พบไอซ์ 2.06 กก. ซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าเอกสาร จึงจับกุมตัวไว้ จากการสอบสวนทราบว่า นายอีเมก้า จอห์น โอบิมมา และน.ส.วรารัตน์ เป็นผู้จองที่พักและนำกระเป๋าเอกสารที่ซุกซ่อนยาเสพติดมาให้นายไอซีดอร์ เรย์น เพื่อนำไปที่ประเทศนิวซีแลนด์ ขณะที่นายไอซีดอร์ เรย์น ให้การว่า ไม่รู้ว่าในกระเป๋ามียาเสพติดอยู่ สาเหตุที่มาประเทศไทย เพราะมีผู้แจ้งว่าตัวเองถูกรางวัลให้มาเที่ยวประเทศไทย 3 วันโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ตอนขากลับมีชาวไนจีเรียจะฝากกระเป๋าไปให้เพื่อนที่ประเทศนิวซีแลนด์ กระทั่งมาถูกจับกุม เบื้องต้น แจ้งข้อหา ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต

คดีที่ 3 เมื่อวันที่ 13 ก.ย. เจ้าหน้าที่ บก.ปส.2 ศุลกากรภาคที่ 2 และศุลกากรภาคที่ 4 ร่วมกันจับกุม นายธีรศักดิ์ แสนเสนาะ อายุ 42 ปี นายธีรศักดิ์ โต๊ะหลี อายุ 42 ปี น.ส.รุ่งทิวา ทาบุญมา อายุ 40 ปี นายร่มหลี รักฤทธิ์ อายุ 43 ปี นายกูสุไล กูหลง อายุ 46 ปี และนายอนุสรณ์ อาหมาน อายุ 31 ปี พร้อมของกลาง กัญชา 917 กก. และรถยนต์ จำนวน 5 คัน สามารถจับกุมได้ที่บริเวณถนนมิตรภาพ ต.หนองขอนกว้าง อ.เมือง จ.อุดรธานี สืบเนื่องจาก เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากสายลับว่า จะมีการลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ชายแดนจ.บึงกาฬ ไปส่งให้กับลูกค้าในพื้นที่ภาคใต้ โดยใช้เส้นทาง จ.บึงกาฬ จ.หนองคาย จ.อุดรธานี จ.ขอนแก่น ไป จ.เพชรบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ปลายทางจ.สตูล จึงเฝ้าระวัง โดยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมไปสังเกตการณ์ตามเส้นทางดังกล่าว

จนกระทั่ง พบรถยนต์กระบะ อีซูซุ สีน้ำตาล ทะเบียน ษต 8244 กทม. รถยนต์กระบะอีซูซุ สีดำ ทะเบียน บจ 4152 สตูล รถยนต์แวน ยี่ห้อฟอร์ด เอฟเวอร์เรส สีดำ ทะเบียน 7กธ 7449 กทม. และรถยนต์โตโยต้า วีโก้ สีเทา ทะเบียน บบ 8565 ตรัง ซึ่งเป็นรถเป้าหมาย ขับตามกันมาเป็นขบวนจนมาถึงบริเวณถนนมิตรภาพ ช่วงต.หนองขอนกว้าง เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัว และทำการตรวจค้นรถทั้งหมดพบ กัญชาวางเรียงซ้อนกันอยู่ท้ายรถกระบะ ทะเบียน บบ 8565 ตรัง ส่วนคันอื่นๆไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย จึงข้อหา ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (กัญชา) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย โดยไม่ได้รับอนุญาต นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดดำเนินคดี

ด้าน พล.ต.ท.สมหมาย เปิดเผยว่า การจับกุมทั้ง 3 คดี เป็นการขนย้ายยาเสพติดทั้งหมด ซึ่งกระทำอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าจะต้องมีเครือข่ายขนย้ายยาเสพติดมากกว่านี้ ส่วนที่จับได้เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ทั้งนี้ การขนย้ายมายังประเทศไทยที่เป็นทางผ่าน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องประสานงานไปยังประเทศมาเลเซีย เพื่อช่วยกันจับกุม เช่น กรณีการตรวจยึดโรงงานผลิตยาเสพติดได้ที่รัฐปีนัง ซึ่งตรวจพบตัวยาเมทแอมเฟตามีน แล้วผลิตเป็นยาที่ชื่อ “ไฟว์ไฟว์” ที่ขายในสถานบริการต่างประเทศ หากผลิตเสร็จจะส่งไปยังประเทศอินโดนีเชียและฟิลิปปินส์ แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถตรวจจับและยับยั้งการขนส่งยาเสพติดได้ก่อน

ผู้ค้าหรือผู้ผลิตยังเป็นรายเดิมกับที่เคยจับกุมยาเสพติดครั้งก่อน เป้าหมายยังคงเป็นกลุ่มคนประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งประเทศออสเตรเลียทราบข่าวว่ามีการจับกุมครั้งนี้ รู้สึกดีใจกับประเทศไทยมาก เพราะประชาชนเจ็บป่วยจากการเสพยาเสพติดที่ส่งเข้าไปที่ประเทศออสเตรเลียจำนวนมาก ส่วนในประเทศมาเลเซีย ยังมีการผลิตอย่างต่อเนื่อง หลังจากนี้ จะมีมาตรการการตรวจจับและติดตามผู้กระทำผิดให้รัดกุมมากยิ่งขึ้น

ตำรวจแถลงจับยาเสพติด3คดีใหญ่ยึดของกลางมูลค่ากว่า2พันล้าน

ตำรวจแถลงจับยาเสพติด3คดีใหญ่ยึดของกลางมูลค่ากว่า2พันล้าน