posttoday

ปอท.ส่งสำนวนคดี"หนุ่มกัมพูชา"แพร่ข่าวปลอมนายกฯไล่เติมน้ำแทนดีเซลให้อัยการแล้ว

17 กันยายน 2561

ตำรวจปอท.ส่งสำนวนคดี "หนุ่มกัมพูชา" เผยแพร่ข่าวปลอมอ้างบิ๊กตู่ไล่เติมน้ำเปล่าแทนดีเซลให้อัยการเพื่อพิจารณาสั่งคดีแล้ว

ตำรวจปอท.ส่งสำนวนคดี "หนุ่มกัมพูชา" เผยแพร่ข่าวปลอมอ้างบิ๊กตู่ไล่เติมน้ำเปล่าแทนดีเซลให้อัยการเพื่อพิจารณาสั่งคดีแล้ว

เมื่อวันที่ 17 ก.ย. พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ได้นำสำนวนหลักฐาน พร้อมตัว นายรัตนะ เฮง ชาวกัมพูชา แอดมิจเพจผู้ดูแลเว็บไซต์ Ratstas.com ผู้ต้องหาคดีนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จฯ กรณีนำข่าวปลอมลงในเว็บไซต์ โดยพาดหัวข่าวว่า “บิ๊กตู่ ฟิวขาด ด่ากราด ไล่ให้เติม น้ำเปล่า แทนดีเซล อย่าโง่ วอนประชาชนอย่าเรื่องมาก” อันเป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโจมตีรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา โดยใช้ประเทศกัมพูชาเป็นฐานที่มั่น มาส่งให้อัยการสำนักงานคดีอาญา พิจารณาเพื่อสั่งคดีต่อไปตามขั้นตอนกฎหมาย

นายพรชัย ชลวาณิชกุล รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา กล่าวว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นทราบว่าวันนี้พนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนมายังอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 แต่ยังไม่ทราบรายละเอียดทางสำนวนคดีว่ากล่าวหาการกระทำข้อหาใดบ้าง จึงต้องขอเวลา 1-2 ตรวจดูรายละเอียดทั้งหมดก่อนว่าจะต้องคณะทำงานพิจารณาสำนวนด้วยหรือไม่ และจะนัดสั่งคดีเมื่อใด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ นายรัตนะ นั้น ในชั้นสืบสวนสอบสวน พนักงานสอบสวน ปอท.ได้รวบรวมพยานหลักฐานจนขอศาลอาญาออกหมายจับเมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2561 และเจ้าหน้าที่ทางการไทยได้ประสานความร่วมมือจนสามารถจับกุมตัว นายรัตนะ ได้ที่ห้างซาเตียนเมียนเจย ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ขณะเดินซื้อสินค้าภายในห้าง ซึ่งทางการไทยได้รับตัวมาจากประเทศกัมพูชา กลับมายังประเทศไทยเมื่อช่วงค่ำวันที่ 30 พ.ค.61 เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายไทย

โดยการสอบสวน นายรัตนะ อ้างว่าเว็บไซต์ดังกล่าวจดในนามของตนจริงที่ประเทศกัมพูชา แต่เพื่อนที่ชื่อหลุยส์ เป็นผู้ขอให้เปิดเว็บไซต์ดังกล่าวให้ โดยนายรัตนะไม่มีส่วนรู้เห็นกับการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบ และขอโทษกับเรื่องราวที่สร้างความเสียหายให้กับทางรัฐบาล ซึ่ง ปอท.ได้แจ้งข้อกล่าวหา นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จฯ โดยประการที่น่าจะเกิด ความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคง ในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิด ความตื่นตระหนกแก่ประชาชน ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560 มาตรา 14 ระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ