posttoday

ศาลอาญาเผยติดกำไลข้อเท้าจำเลยไร้หลักประกัน319รายส่อหนี8

02 กันยายน 2561

ศาลอาญา เผยติดกำไลข้อเท้าผู้ต้องหาไม่มีหลักทรัพย์ 319 ราย พบสัญญาณขาดส่อหนีแค่ 8 ราย ตามตัวได้แล้ว 3 ราย

ศาลอาญา เผยติดกำไลข้อเท้าผู้ต้องหาไม่มีหลักทรัพย์ 319 ราย พบสัญญาณขาดส่อหนีแค่ 8 ราย ตามตัวได้แล้ว 3 ราย

นายวิทยา บุญชัยวัฒนา รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา กล่าวถึงการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ หรือ กำไลข้อเท้า EMในการให้ประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ไม่มีหลักประกัน หรือหลักประกันไม่เพียงพอ เพื่อให้ได้รับโอกาสเท่าเทียมในการได้รับประกันตัว ตามนโยบายลดความเหลื่อมล้ำ และเพื่อลดจำนวนผู้ต้องขังในเรือนจำว่า นับตั้งแต่ศาลอาญาได้รับอุปกรณ์ EM มาจากสำนักงานศาลยุติธรรมเพื่อติดให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ไม่มีหลักประกันตัวและประสงค์ติดอุปกรณ์ ตามเกณฑ์ที่ศาลได้กำหนดแล้ว ตั้งแต่เดือน มี.ค.61 ที่ผ่านมา จนถึงเดือน ส.ค.นี้ ศาลอาญาได้ติดอุปกรณ์กับผู้ต้องหาแล้ว 319 ราย ทั้งกรณีที่ไม่มีการวางหลักประกันเลย กับกรณีที่ศาลเรียกหลักประกัน 20 % พร้อมติดอุปกรณ์

"ขณะนี้พบว่ามีผู้ต้องหาหรือจำเลยที่สัญญาณอุปกรณ์ขาดหายไปแล้วติดต่อไม่ได้และขาดนัด 8 รายที่มีทั้งชาย-หญิง ซึ่งตามกฎหมายการติดอุปกรณ์เมื่อไม่สมารถติดต่อได้ หรือไม่มาตามกำหนดนัดให้เชื่อว่าหลบหนีก็เสนอให้ศาลอาญาไว้ โดยภายหลังสามารถติดตามตัวมาได้ 3 รายเป็นคดีเกี่ยวกับยาเสพติดและคดีฉ้อโกงก็ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วพบว่า มีทั้งกรณีการทำลายอุปกรณ์ และก็ไม่มาตามนัด ส่วนอีก 5 รายยังติดตามตัวต่อไป"

ทั้งนี้ส่วนของคนที่หนีติดตามตัวมาได้แล้ว ศาลก็พิจารณาไม่ให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยนั้นประกันตัวแล้วและเพิกถอนสัญญาการประกันตัว ถือเป็นการลงโทษอย่างหนึ่ง รวมทั้งการสั่งปรับนายประกันเต็มจำนวนตามวงเงินคดีนั้นๆ เช่น 300,000 บาท หรือล้านบาท เพราะหลักการติดอุปกรณ์ EM เพื่อช่วยเหลือการได้รับอิสรภาพโดยไม่ต้องใช้เงินซึ่งเชื่อว่าจะไม่หลบหนีและให้โอกาสได้รับความสะดวกการแสวงหาพยานหลักฐานมาต่อสู้คดีขณะอยู่นอกเรือนจำ แต่ขณะเดียวกันศาลก็ต้องเคร่งครัดไม่ให้เกิดความเสียหายใดต่อกระบวนการยุติธรรมด้วย

ส่วนต่อไปผู้ต้องหาหรือจำเลยนั้นจะใช้สิทธิยื่นประกันตัวใหม่อีกตามกฎหมาย ก็ทำได้ แต่ประวัติที่เคยทำลายอุปกรณ์ EM ที่ใช้ติดตามตัวโดยมีเจตนาหลบหนีศาลก็จะนำมาใช้ประกอบดุลยพินิจพิจารณาจะให้หรือไม่ให้ประกันต่อไปด้วย อย่างไรก็ดีก่อนการจะให้ออกหมายจับ ก็ต้องมีรายงานมาให้ชัดเจนก่อนว่าพฤติการณ์ที่ผ่านมาเคยผิดนัดหรือไม่ หรืออยู่ในพื้นที่อับสัญญาณ หรือแบตเตอรี่หมดทำให้สัญญาณขาดหายเพียงช่วงหนึ่ง

นายวิทยา กล่าวอีกว่า กรณีที่มีการหลบหนี หากไต่สวนแล้วได้ความชัดเจนว่า มีการทำลายอุปกรณ์ EM โดยมีเจตนาหลบหนีคดี ผู้ต้องหรือจำเลยนั้นก็ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าอุปกรณ์ที่ถูกทำลายไปด้วย โดยบริษัทเอกชนที่สำนักงานศาลยุติธรรมเช่าเครื่องอุปกรณ์ EM มา ก็จะไปผู้เรียกร้องค่าเสียหายในทรัพย์สินนั้น ดังนั้นเมื่อได้อิสรภาพในการได้ปล่อยตัวโดยมีการติดอุปกรณ์ EM แล้วก็ไม่ควรทำลายอุปกรณ์ อีกทั้งระหว่างขั้นตอนการใส่อุปกรณ์ผู้ต้องหาหรือจำเลยควรร่วมมือให้เบอร์ติดต่อผู้ใกล้ชิดรวมทั้งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ตามที่เจ้าหน้าที่ศาลร้องขอให้ครบถ้วน ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของตัวผู้ต้องหาและจำเลยเองด้วยที่จะไม่ต้องถูกออกหมายจับหากสัญญาณขาดหายแล้วติดต่อไม่ได้ ซึ่งก่อนที่ศาลสั่งติดทุกอย่างก็เป็นไปด้วยความสมัครใจของผู้ต้องหาและจำเลยทุกรายศาลไม่ได้บังคับเพราะเป็นสิทธิ ต่างกับประเภทคดีเมาแล้วขับในศาลแขวงที่ใช้อุปกรณ์ EM ติดให้ผู้ต้องหาและจำเลยเลย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ส่วน 5 ศาลอันดับแรกที่สถิติติดอุปกรณ์ EM สูงสุด ขณะนี้อันดับ 1 ศาลอาญา , อันดับ 2 ศาลมีนบุรี 169 ราย , ศาลอาญาธนบุรี 74 ราย , ศาลอาญากรุงเทพใต้ 69 ราย และอันดับที่ 5 ศาลจังหวัดนครปฐม 58 ราย