posttoday

"อ.อานนท์" นิติฯมธ.ตั้งคำถามถึงความยุติธรรมต่อการสอบผู้พิพากษา "สนามจิ๋ว"

28 สิงหาคม 2561

อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เเสดงความคิดเห็นกรณีการสอบเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการตุลาการในตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษา "สนามจิ๋ว"

อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เเสดงความคิดเห็นกรณีการสอบเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการตุลาการในตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษา "สนามจิ๋ว"

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อานนท์ มาเม้า อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก Arnon Mamout เเสดงความคิดเห็นกรณีการสอบเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการตุลาการในตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษา

เนื้อหาทั้งหมดระบุว่า

ขอพูดอีกครั้ง เกี่ยวกับสอบผู้พิพากษา “สนามจิ๋ว”
ปัญหา “ความไม่ยุติธรรม” ของการสอบเป็น “ผู้ชี้ขาดความยุติธรรม”

คือ เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ที่ผ่านมา มีการประกาศรายชื่อผู้สอบผ่านข้อเขียนเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษา “สนามจิ๋ว“ ได้มาจำนวน ๖๑ คน

ตรงนี้ ขอเรียนให้คนที่ไม่ทราบเรื่องสนามจิ๋วว่า คือ สนามสอบเป็นผู้พิพากษาที่เปิดให้คนจบปริญญาโท “เมืองนอก“ ในทางกฎหมาย “๒ ใบ” สามารถสอบในสนามนี้ได้เป็นการเฉพาะ

ซึ่งผลที่ออกมา ผมขอเรียนว่า มาจากการแข่งขันที่มีผู้สมัครในสนามนี้ ๒๗๕ คน

ถ้าเราเทียบเป็นร้อยละของผู้ผ่านข้อเขียน คือร้อยละ ๒๒.๒ หรือเท่ากับประมาณ ๑ ใน ๕ ของผู้สมัครเลยทีเดียว

ยิ่งกว่านั้น ถ้าเราลองเทียบกับกรณี “สนามใหญ่” ที่เป็นสนามทั่วไปสำหรับคนจบปริญญาตรี ไม่ใช่กรณีโทนอก ๒ ใบแบบสนามจิ๋ว
เราจะพบตัวเลขที่น่าตกใจ

อย่างล่าสุดที่เพิ่งประกาศผลไปตอนเดือนมกราคมที่ผ่านมา
สมัครสนามใหญ่ ๗,๐๑๔ คน ผ่านข้อเขียน ๓๓ คน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ ๐.๕

ต่างกันมากมายนะครับระหว่าง ๒๒.๒% กับ ๐.๕%

คำถามคือโอกาสในการสอบได้ ทำไมมันจึงต่างกันมากขนาดนั้น?

และเมื่อยิ่งดูข้อสอบกฎหมายเทียบกันระหว่างสองสนาม ท่านก็จะเกิดคำถามว่า ทำไมข้อสอบสนามใหญ่จึงยากและซับซ้อนกว่าสนามจิ๋วอย่างมากจนเห็นได้ชัด?

และถ้าเห็นตัวเลขการประกอบอาชีพของคนเข้าสอบสนามจิ๋วอย่างรอบนี้ ท่านก็จะพบข้อมูลว่า ไม่ประกอบอาชีพถึง ๑ ใน ๓
คำถามคือ คนพวกนี้คือใคร แล้วยังชีพด้วยอะไร? เบี้ยคนจนหรือไร?

ยิ่งมามองตัวเลขอายุรอบนี้ ก็จะพบว่า ๗๕.๔ % เป็นคนมีอายุเพียง ๒๕ - ๓๐ ปี คำถามคือคนรุ่นหนุ่มสาวนี้ใช้ชีวิตได้อย่างไร?

คำถามที่เกิดขึ้นทั้งหลายดังกล่าว หลายท่านในวงการกฎหมาย รู้ดี
และพูดกันอย่างตรงไปตรงมาว่า

ผู้สอบได้สนามจิ๋วเป็นจำนวนมาก คือ ลูกหลานคนมีเงินที่พอจะส่งลูกหลานไปเรียนปริญญาโทเมืองนอกได้
และลูกหลานคนมีเงินที่สอบได้เป็นจำนวนไม่น้อย คือ ลูกหลานผู้พิพากษาที่รู้ช่องทางนี้ ช่องทางที่เราเห็นได้ว่า โอกาสมันช่างง่ายกว่าสนามใหญ่เสียเหลือเกิน
คนสอบได้หลายคน เราก็รู้เห็นกันว่า ที่ไม่มีอาชีพ ก็เพราะวัน ๆ เตรียมสอบมุ่งเป้าโดยเฉพาะ เงินทองไม่เดือดร้อนเพราะบ้านมีอันจะกิน บ้านเป็นผู้พิพากษาบ้าง อัยการบ้าง จึงไม่ต้องดิ้นรนทำมาหากินเอง

เอาเข้าจริง ระบบการสอบสนามจิ๋วนี้เกิดขึ้นมาไม่ถึง ๑๕ ปี
แต่เป็นระยะเวลาที่เกิดคำถามขึ้นจนถึงปัจจุบันที่ยังคงดังอยู่เรื่อย ๆ
ซึ่ง “คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม หรือ ก.ต.” โดยเฉพาะชุดที่สร้างระบบสนามจิ๋วขึ้น “ครั้งแรก” ก็ย่อมมีเหตุผลของท่าน
แต่วันนี้ ผมอยากให้ทบทวนอีกครั้งถึงปัญหาและความจริง แม้จะต้องกระทบคนบางคนที่ยังเกาะพิงอิงอาศัยประโยชน์จากระบบการสอบแบบนี้ เพื่อตัวเองหรือลูกหลานตัวเองก็ตาม

ผมขอแสดงความเห็น ที่จริงเคยเสนอไว้แล้ว แต่ขอนำมาอีกครั้ง ดังนี้

๑. หากจะมีสนามจิ๋วเพื่อต้องการบุคลากรที่มีความรู้กฎหมายต่างประเทศและได้ภาษาด้วย ซึ่งจำเป็นในบางส่วนงาน เช่น สำนักวิชาการฯ สำนักประธานศาลฎีกา ศาลชำนัญพิเศษ

เห็นว่า ศาลยุติธรรม ก็ควรกำหนดกรอบอัตรากำลังคนที่มีความจำเป็นต้องใช้สนามจิ๋วออกมา แล้วบรรจุตามกรอบอัตรานั้น
แต่ที่ผ่านมาไม่เป็นเช่นนั้น เพราะไม่มีการกำหนดกรอบอัตรากำลังคนเลย
(ในส่วนขององค์กรอัยการมีการกำหนดจำนวนว่าสนามจิ๋วครั้งนี้ครั้งนั้นรับกี่คน แต่ก็ไม่ใช่กรอบอัตรากำลังคนในภาพรวมที่กล่าวไป ส่วนของศาลยุติธรรมรับไม่อั้น ขอให้สอบผ่านแค่นั้นเอง)

๒.ในความเป็นจริงที่เป็นอยู่ ควรจัดให้คนที่สอบสนามจิ๋วได้ทำงานในส่วนงานที่จำเป็นต้องใช้ความรู้ความสามารถของคนเหล่านี้ ไม่ใช่ให้ทำงานพิจารณาพิพากษาคดีทั่วไปอย่างที่เป็นอยู่ เพราะเมื่อทำเช่นนี้ ก็ควรมีสนามใหญ่สนามเดียวไปเลย

๓. มาตรฐานของข้อสอบ ควรมีมาตรฐานเดียวกับสนามใหญ่
ไม่ใช่ต่างกันมากอย่างที่เป็นอยู่ ที่สำคัญสนามจิ๋วไม่ควรมีสัดส่วนคะแนนภาษาอังกฤษ/ภาษาต่างประเทศมากอย่างที่เป็นอยู่ ซึ่งส่งผลให้คนสอบบางคนสามารถผ่านเพราะภาษาอังกฤษ แต่ตกวิชากฎหมาย

อนึ่ง ระเบียบที่ใช้สอบสามสนามพร้อมกันโดยใช้ข้อสอบบางวิชาร่วมกันกลับไม่ถูกนำมาใช้เลยสำหรับอัยการ ส่วนศาลใช้ครั้งเดียว ผลคือสนามจิ๋วคนสอบผ่านน้อย หลังจากนั้นก็ไม่ใช้อีกเลย ทั้งที่ระเบียบนี้ออกมาเพื่อพยายามสร้างมาตรฐานความเป็นธรรม

๔. นอกจากต้องมีการกำหนดกรอบอัตรากำลังคนตามข้อ ๑.แล้ว
วุฒิการศึกษา/สาขาของผู้สมัครควรจะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการของศาล

ศาลขาดคนสาขาไหนก็ประกาศรับเลย ทำนองเดียวกับการรับสมัครอาจารย์มหาวิทยาลัย

ทุกวันนี้กลายเป็นว่า ขอแค่จบนอก ๒ใบ ตามสาขาทั่วไปและสาขาพิเศษที่รับรองก็พอ
ปรากฏว่าคนสอบผ่านสนามจิ๋วส่วนใหญ่ก็จบสาขาคล้าย ๆ กัน เช่น ธุรกิจ การค้าระหว่างประเทศ ภาษี IP เป็นต้น
ผลที่ตามมาคือศาลได้คนจบสาขาเหล่านี้มาเป็นจำนวนมาก โดยที่ไม่ทราบว่าเอาเข้าใจจริง อะไรเป็นสาขาที่ขาดแคลน ในขณะที่สาขาที่ขาดแคลนจริง ๆ ในทางปฏิบัติที่เห็นกันอยู่ ก็ยังขาดอยู่เช่นเดิม เช่น ก่อการร้าย อาเซียน IT เป็นต้น

สุดท้าย ณ วันนี้ ผมยังมีข้อสรุปส่วนตัวที่เห็นจากความเป็นจริงว่า
วงการศาลไม่เคยเห็นปัญหาของระบบสนามจิ๋ว
ผู้พิพากษาหรือคนรวยบางคนใช้ช่องโอกาสนี้ให้กับประโยชน์ส่วนตัว
สนามจิ๋วจึงยังเป็นสนามเพื่อปูทางให้คนสบช่องทางนี้เท่านั้น
และปรากฏการณ์นี้ก็ยังคงอยู่ต่อไป ทำลายความน่าเชื่อถือศรัทธาของศาล
ลับลวงพรางเพื่อได้คนมาเอาผลประโยชน์ไปจากภาษีของประชาชน

แต่ผมก็ยังเชื่อว่า คนในวงการศาลที่เป็นพวกน้ำดียังมีอยู่มาก
ที่วันหนึ่งจะยกเลิกระบบสนามสอบจิ๋วนี้ ปฏิรูปการได้มาซึ่งผู้พิพากษาที่มีระบบซึ่งเป็นธรรม
โดยไม่ยอมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของวงจรที่เป็นปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีก
และเห็นประโยชน์ต่อการได้มาซึ่งผู้พิพากษาที่มีคุณภาพ มากกว่าเห็นประโยชน์ต่อการที่ลูกหลานจะได้เป็นผู้พิพากษาเช่นตน

ผมยังศรัทธาและเชื่ออยู่ลึก ๆ ครับ

"อ.อานนท์" นิติฯมธ.ตั้งคำถามถึงความยุติธรรมต่อการสอบผู้พิพากษา "สนามจิ๋ว"

ภาพจากเฟซบุ๊ก Arnon Mamout

 

 

ข่าวล่าสุด

กทม.เผยยอดเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพสะสมกว่า 2.35 แสนคน