posttoday

ความรุนแรงในครอบครัวไทยพุ่ง! แนะสังคมอย่าเมินเฉยหากพบเห็น

23 สิงหาคม 2561

มูลนิธิหญิงชายก้าวไกลเผยสถิติข่าวความรุนแรงในครอบครัวปี61พุ่งกว่าทุกปี แนะคนในสังคมร่วมช่วยเหลือแจ้งเหตุหากพบเห็น เรียกร้องเปลี่ยนแปลงทัศนคติ "ชายเป็นใหญ่"

มูลนิธิหญิงชายก้าวไกลเผยสถิติข่าวความรุนแรงในครอบครัวปี61พุ่งกว่าทุกปี แนะคนในสังคมร่วมช่วยเหลือแจ้งเหตุหากพบเห็น เรียกร้องเปลี่ยนแปลงทัศนคติ "ชายเป็นใหญ่"

เมื่อวันที่ 23 ส.ค. นางสาวอังคณา อินทสา หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวในเวทีเสวนา "จับสัญญาณอันตรายความตายความรุนแรงในครอบครัว 2018"ว่า มูลนิธิฯ เก็บสถิติข่าวความรุนแรงในครอบครัว จากหนังสือพิมพ์ 11ฉบับ ปี2561พบว่า เพียงแค่7 เดือน ม.ค.-ก.ค. เกิดข่าวความรุนแรงในครอบครัวสูงถึง 367ข่าว เป็นข่าวฆ่ากันตาย 242ข่าว คิดเป็นร้อยละ 65.9 รองลงมาเป็นข่าวทำร้ายร่างกาย84ข่าว คิดเป็นร้อยละ 22.9และข่าวฆ่าตัวตาย 41ข่าว คิดเป็นร้อยละ 11.2

ทั้งนี้หากเปรียบเทียบข่าวฆ่ากันตายย้อนหลัง3ปี จะเห็นว่าปี 61สถิติสูงสุดกว่าทุกปี โดยปี 2555มีข่าวร้อยละ59.1 ปี2557มีข่าวร้อยละ62.5และ ปี 2559มีข่าวร้อยละ48.5

หากวิเคราะห์เชิงลึกในรอบ 4 เดือน เฉพาะข่าวฆ่ากันตายเฉลี่ยแล้วจะมีประมาณเดือนละ 20ข่าว ส่วนปัจจัยกระตุ้นพบว่ามาจากสุราและยาเสพติด ที่น่าห่วงคือ อาวุธที่ใช้ก่อเหตุมากที่สุด ได้แก่ ปืน ร้อยละ 40.5รองลงมาเป็นมีด ของใช้ใกล้มือ ไม้ ค้อน เมื่อลงลึกถึงมูลเหตุที่ลงมือ พบว่า บันดาลโทสะ หึงหวง และมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง นอกจากพบว่านี้ร้อยละ94.9ของผู้ที่พบเห็นเหตุความรุนแรงเลือกที่จะนิ่งเฉย ไม่เข้าไปช่วยเหลือ

นางสาวอังคณา ปรากฏการณ์ทำร้ายร่างกาย ฉุดกระชากลากถู ตบตีในพื้นที่สาธารณะมีให้เห็นมากขึ้น สถิติลงมือฆ่ากันตาย มันเป็นสัญญาณอันตราย ทั้งความไม่เสมอภาคระหว่างหญิงชาย รวมถึงโครงสร้างสังคมยังกำหนดความไม่เท่าเทียมผ่านสถาบันครอบครัว การศึกษา ระบบเครือญาติ การเมือง และศาสนา สะท้อนให้เห็นว่า

1. ผู้กระทำความรุนแรงส่วนใหญ่เป็นผู้ชายยังมีวิธีคิดและทัศนคติแบบชายเป็นใหญ่ ไม่เปลี่ยนแปลงวิธีคิดแสดงออกผ่านพฤติกรรมความหึงหวง บันดาลโทสะ 2.การผลิตซ้ำวาทกรรม “ชายเป็นใหญ่” ทั้งปรากฏอย่างชัดเจนและแฝงเร้น เช่น เรื่องครอบครัวเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องลิ้นกับฟัน อย่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน เมื่อเขาคืนดีกันเราจะเป็นหมา เป็นต้น ส่งผลให้คนในสังคมไม่อยากเข้าไปช่วยเหลือ และไม่กล้าเข้าไปแก้ปัญหา ทำให้ทวีความรุนแรงมากขึ้น

"สังคมจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติใหม่ว่า เรื่องครอบครัวเป็นเรื่องของสังคมหรือสาธารณะชน เมื่อพบเห็นเหตุการณ์ให้ช่วยเหลือทั้งการแจ้งปัญหาต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีอำนาจหน้าที่ หรือการเข้าไปช่วยเหลือด้วยตนเอง เป็นต้น รวมถึงการรณรงค์สร้างวัฒนธรรมให้เคารพเนื้อตัวร่างกายผู้อื่นซึ่งต้องเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก โดยมูลนิธิและภาคีเครือข่ายเตรียมจะยื่นข้อเสนอต่อกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เร็วๆนี้" นางสาวอังคณา กล่าว

ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ