posttoday

ศาลให้ประกัน"พี่สาวบูม"หลังทนายยื่น2ล้าน สั่งห้ามออกนอกประเทศ

15 สิงหาคม 2561

ศาลให้ประกันพี่สาว "บูม บิตคอยน์" ตีราคา 2 ล้าน บาท หลังกองราบส่งฝากขังครั้งแรกคดีฟอกเงินบิตคอยน์ ศาลสั่งห้ามออกนอกประเทศ

ศาลให้ประกันพี่สาว "บูม บิตคอยน์" ตีราคา 2 ล้าน บาท หลังกองราบส่งฝากขังครั้งแรกคดีฟอกเงินบิตคอยน์ ศาลสั่งห้ามออกนอกประเทศ

เมื่อวันที่ 15 ส.ค. พ.ต.ท.กำธร นิยม พนักงานสอบสวนกองปราบปราม ได้ควบคุมตัว น.ส.สุพิชฌาย์ จารวิจิต ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา คดีร่วมกันฟอกเงิน ที่หลอกลงทุนเงินสกุลดิจิตอล (บิตคอยน์) มูลค่ากว่า 700 ล้านบาท ซึ่งเป็นพี่สาวของนายจิรัชพิสิษฐ์ จารวิจิต หรือบูม นักแสดง ผู้ต้องหาคดีเดียวกัน มายื่นคำร้องขอฝากขังครั้งแรก เป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 15-26 ส.ค.นี้ เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น ต้องสอบพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมอีก 10 ปาก และรอเอกสารทางการเงินของพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง กับรอผลการตรวจสอบประวัติลายพิมพ์นิ้วมือ จาก สตช.

ทั้งนี้ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวน ก็ขอคัดค้านการให้ประกันตัวผู้ต้องหาด้วย เนื่องจากเกรงว่าจะหลบหนี และเข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน

คำร้องฝากขังระบุว่า พฤติการณ์กลุ่มผู้ต้องหานั้นสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 30 ม.ค.ที่ผ่านมา นายอาร์นี ออตตาวา ซาอ์ริมาอ์ ชาวฟินแลนด์ ซึ่งประกอบธุรกิจซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิตอล ผู้เสียหายได้ประสานเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับ นายปริญญา จารวิจิต พี่ชายของผู้ต้องหา กับพวก กรณีที่ได้ร่วมกันหลอกลวงเอาเงินของนายอาร์นีไปโดยทุจริต จำนวน 797,408,454.33 บาท โดยกลุ่มของพี่ชายผู้ต้องหา ได้หลอกลวงผู้เสียหายตั้งแต่ต้นเดือน มิ.ย.60 ชักชวนให้ มาร่วมลงทุนซื้อหุ้นบริษัทเอ็กซ์เปย์ ซอร์ฟแวร์ จำกัด โดยให้โอนเหรียญบิตคอยน์ ไปยังกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E- Wallet) จำนวน 1,259.13 เหรียญบิต เป็นเงินมูลค่า 92,692,200 บาท , ลงทุนซื้อสกุลเงินดิจิตอล (dragon coin หรือ DRG) อีกเป็นเงิน 400 ล้านดอลล่าร์ฮ่องกง

นายอาร์นีได้โอนเงินบิตคอยน์เข้ากระเป๋าเงิน E- Wallet ของนายปริญญากับพวก รวม 2,958.75948993 เหรียญบิต คิดเป็นมูลค่าเสียหาย 440,007,281.33 บาท และการซื้อหุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทยอีกด้วย จำนวน 1,355.55701963 เหรียญบิต คิดเป็นมูลค่า 264,780,973 บาท

แต่หลังจากนั้น นายปริญญาพี่ชายผู้ต้องหากับพวกได้นำเหรียญบิตคอยที่ได้รับโอนมาจากผู้เสียหาย ทยอยขายออกไปแล้วถอนเงินออกจากกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ไปเข้าบัญชีธนาคารพาณิชย์ของกลุ่มพี่ชายผู้ต้องหารวม 7 ราย ซึ่งพนักงานสอบสวนมีหนังสือรายงานความผิดมูลฐาน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ไปยังเลขาธิการสำนักงาน ปปง. ขอให้ตรวจสอบพิเคราะห์ข้อมูลธุรกรรมทางการเงินของกลุ่มผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องเนื่องจากมีเหตุอันควรเชื่อว่ามีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน

กระทั่ง ปปง. สรุปรายงานแจ้งว่านายปริญญา พี่ชายของผู้ต้องหา , นายจิรัชพิสิษฐ์ ผู้ต้องหาอีกรายซึ่งเป็นน้องชาย และตัวผู้ต้องหานี้ได้รับเงินจากการกระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ” ซึ่งเป็นความผิดมูลฐาน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ ซึ่งกลุ่มผู้ต้องหาได้โอนเงินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดไปมาระหว่างกันหลายครั้ง แล้วนำเงินไปเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินเพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มา หรือเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นฯ ในการทำผิด ซึ่งนายปริญญา พี่ชายของผู้ต้องหา และผู้ต้องหา ได้นำเงินนั้นไปจดทะเบียนซื้อฝาก-ขายที่ดินรวม 14 แปลง มูลค่ากว่า 176,220,000 บาท

โดยชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

ภายหลังศาลพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ฝากขังได้

ขณะที่ทนายความของ น.ส.สุพิชฌาย์ ผู้ต้องหา ได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสดจำนวน 2 ล้านบาท ขอปล่อยชั่วคราวชั้นฝากขัง

กระทั่งเวลา 16.00 น. ศาลพิจารณาคำร้องขอประกันตัวดังกล่าว ก็อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาไประหว่างการฝากขัง พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับนายจิรัชพิสิษฐ์ นั้น พนักงานสอบสวนกองปราบปราม ได้ยื่นฝากขังครั้งแรกไปเมื่อวันที่ 10 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งศาลก็ให้ประกันตัว 2 ล้านบาทพร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศเช่นกัน