posttoday

กินคลีนให้เป็นนโยบาย

11 สิงหาคม 2561

กระแสของการรักษาสุขภาพกำลังมาแรงเป็นอย่างมากในเวลานี้ ไม่ว่าจะไปที่ไหนหรือคุยกับใคร

โดย ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย
 
กระแสของการรักษาสุขภาพกำลังมาแรงเป็นอย่างมากในเวลานี้ ไม่ว่าจะไปที่ไหนหรือคุยกับใคร ก็ล้วนแต่คุยและแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับการรักษาสุขภาพ หรืองานวิ่งมาราธอนที่เวลานี้มีผู้จัดงานในทุกสัปดาห์ แสดงให้เห็นว่าเทรนด์รักสุขภาพเป็นกระแสของคนไทยในเวลานี้ไปแล้ว
 
นพ.ระวี มาศฉมาดล หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ แม้จะทุ่มเทเวลาให้กับการเมืองเต็มตัว ภายหลังเกษียณจากการประกอบกิจการส่วนตัว แต่ก็ยังไม่ทิ้งงานด้านการสร้างความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ
 
หมอระวี ปัจจุบันอายุ 65 ปี เดิมทีรับราชการเป็นหมออยู่ต่างจังหวัดและชนบท เป็นหมอตรวจโรคทั่วไป การเป็นหมอส่วนใหญ่ไม่ได้รวยอะไรมากมาย ส่วนงานด้านสาธารณสุขจำเป็นต้องเสียสละเพื่อรักษาสุขภาพให้กับประชาชน ซึ่งมีผู้ป่วยที่ต้องรับการรักษาจำนวนมาก 
 
“รับราชการมาประมาณ 5 ปี ก็ตัดสินใจลาออกมาเป็นเวลาประมาณ 20 ปีแล้ว เวลานั้นที่ต้องลาออกเพราะมีเหตุผลทางการเมือง เนื่องจากถูกคุกคาม ภายหลังผมเข้าไปเป็นประธาน กกต.จังหวัด เมื่อลาออกจากราชการ ก็มาเปิดคลินิกส่วนตัวและสร้างโรงพยาบาลเอกชนขนาดเล็ก ซึ่งปัจจุบันก็ยังดำเนินการอยู่”    
 
หมอระวี เล่าอีกว่า นับตั้งแต่ลาออกมาจนถึงปัจจุบันนอกจากจะทำงานส่วนตัวแล้ว ก็ยังได้ทำงานเพื่อสังคมด้วย โดยเฉพาะการทำงานด้านการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก รวมไปถึงการระดมความคิดเห็นเพื่อปรับปรุงระบบสาธารณสุขของไทย และงานการเมืองอย่างที่เห็นในปัจจุบันในนามพรรคพลังธรรมใหม่ 
 
“ตอนนี้แบ่งเวลาให้กับงานสังคมประมาณ 70% ส่วนอีก 30% ก็ให้เวลากับครอบครัว ตอนนี้ลูกทุกคนก็จบการศึกษาหมดแล้ว เลยมีเวลาทำงานเพื่อสังคมมากขึ้น”
 
ทุกวันนี้ หมอระวี บอกว่า จะเน้นการทำงานด้านแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกเป็นพิเศษ เพราะคิดว่าการรักษาสุขภาพด้วยวิธีธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ถูกต้องและถูกทางมากที่สุด พร้อมกับดำเนินการตั้งกองทุนสุขภาพเขียวและต่อยอดกองทุนให้เป็นมูลนิธิ เพื่อทำให้เรื่องนี้เป็นรูปธรรมในระยะยาว
 
“แพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกเป็นงานที่ผมทำมาเป็นเวลานานพอสมควร เราอยู่กับชาวบ้านมาตลอด เวลานี้แค่แพทย์แผนปัจจุบันอย่างเดียวมันไม่ตอบโจทย์ แต่จะต้องใช้การแพทย์แบบผสมผสาน”

กินคลีนให้เป็นนโยบาย

 
ขณะเดียวกัน หมอระวี ได้ริเริ่มจัดตั้งกองทุนสุขภาพเขียว ทำมาได้ประมาณ 2 ปีแล้ว เหตุผลที่ทำเนื่องจากที่ผ่านมาได้ทำเรื่องสุขภาพมาตลอดชีวิต จึงคิดว่าควรตั้งกองทุนขึ้นมาเพื่อดำเนินการด้านสุขภาพเฉพาะ
 
“สุขภาพเขียวในที่นี้หมายความว่าการรักษาสุขภาพคนตามหลักธรรมชาติ ใช้แพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกร่วมกับแพทย์แผนปัจจุบัน โดยต้องการสร้างและอบรมคนในปัจจุบันให้เรียนรู้เรื่องการทำการเกษตรแบบไร้สารพิษ 100% you are what you eat คุณกินอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น
 
ดังนั้น ถ้าเราได้รับประทานอาหารไร้สารพิษ 100% ร่างกายของเราก็จะป่วยยาก และจะแข็งแรงมากขึ้น ไม่ใช่กินแต่อาหารที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย ทุกวันนี้คนไทยเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งมากที่สุด โดยการทำกองทุนสุขภาพเขียวนั้นยกระดับเป็นมูลนิธิสุขภาพเขียว ซึ่งได้จดทะเบียนแล้ว และคิดว่าจะทำงานต่อยอดต่อไปในระยะยาว”
 
ในแง่ส่วนตัวแล้ว หมอระวี ค่อนข้างให้ความสำคัญกับการเลือกรับประทานอาหารมากที่สุด โดยไม่ถึงกับกินคลีนหรือมังสวิรัติ 100% เพียงแต่จะลดการรับประทานเนื้อสัตว์ 
 
“ส่วนตัวผมเองก็ทานอาหารเพื่อสุขภาพนะ แต่ก็ไม่ถึงขั้นมังสวิรัติ เพียงแต่จะเน้นผักเป็นหลัก และอาหารไร้สารพิษโดยปลูกผักในบ้านทานเอง ภรรยาก็เป็นคนดำเนินการในเรื่องนี้ นอกจากนี้ ก็พยายามแลกเปลี่ยนวัตถุดิบกับเครือข่ายที่สนิทสนมที่รับประทานอาหารแนวนี้เหมือนกัน เพื่อสร้างความหลากหลาย”
 
“การกินอาหารไร้สารพิษส่งผลให้เราแก่ช้าลงนะ อายุ 65 ปี แต่ผมยังไม่หงอก ที่สำคัญการกินอาหารอย่างเดียวยังไม่พอ เพราะต้องควบคู่ไปกับการออกกำลังกายด้วย เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของอวัยวะส่วนต่างๆ สุขภาพที่ดีต้องให้ธรรมชาติบำบัด แต่ผมก็ไม่ได้ปฏิเสธแพทย์แผนปัจจุบันนะ เพราะบางโรคยังจำเป็นต้องรักษาตามแผนปัจจุบัน ทุกอย่างต้องดูตามความเหมาะสม”
 
หมอระวี สรุปว่า การกินคลีนแบบ100% ถ้าทำได้ย่อมเป็นเรื่องที่ดีแน่นอน รับรองว่าจะช่วยให้แข็งแรง แต่ในชีวิตความเป็นจริงมันทำได้ไม่หมด เพราะเราไม่สามารถจะหาวัตถุดิบได้ทุกอย่าง สมมติคุณจะกินคลีน 100% ก็ต้องปลูกผักกินเองทั้งหมด เพราะเวลาไปซื้อและเห็นว่าเป็นผักที่ผ่านการรับรอง ปรากฏว่าไปตรวจจริงๆ ก็ยังไม่ผ่าน หรือจะทานเนื้อสัตว์ที่ไร้สารพิษก็หาซื้อยากเช่นกัน ดังนั้นการจะกินคลีนแบบ 100% จึงทำได้ยาก ต้องเป็นคนที่มีความพร้อมจริงๆ ทั้งกาย ใจ และเศรษฐกิจ 
 
“การจะทำให้การกินคลีนแบบ 100% คงต้องเป็นเรื่องระดับนโยบายที่ต้องเริ่มจากรัฐบาล ซึ่งพรรคจะเสนอเรื่องนี้เป็นนโยบายต่อไป เพราะถ้าไม่ทำเป็นระดับนโยบาย คงจะทำให้เกิดเป็นรูปธรรมได้ยาก ถ้ามีการขยับในเชิงนโยบาย เชื่อว่าการทำเรื่องนี้ให้เป็นความจริงขึ้นมาก็จะมีทางเป็นไปได้” หมอระวี ทิ้งท้าย