ทีมหมูป่าติดถ้ำหลวงเป็นผู้ประสบภัยธรรมชาติอย่าละเมิดสิทธิเด็ก
เครือข่ายองค์กรด้านเด็กเยาวชนและครอบครัว แถลง13ชีวิตติดถ้ำหลวงเป็นผู้ประสบภัยธรรมชาติขอทุกฝ่ายไม่กระทำการใดๆที่เป็นการละเมิดสิทธิเด็กและครอบครัวทุกกรณี
เครือข่ายองค์กรด้านเด็กเยาวชนและครอบครัว แถลง13ชีวิตติดถ้ำหลวงเป็นผู้ประสบภัยธรรมชาติขอทุกฝ่ายไม่กระทำการใดๆที่เป็นการละเมิดสิทธิเด็กและครอบครัวทุกกรณี
เมื่อวันที่ 6ก.ค.61 นับเป็นข่าวดีที่สุดของคนไทยตลอดจนผู้คนทั่วทุกมุมโลก เมื่อมีข่าวการพบตัวเด็กๆทีมฟุตบอลหมูป่าอคาเดมี 12คนและโค้ช 1คน บริเวณเนินนมสาว หลังจากติดอยู่ในถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอนเป็นเวลา 9วัน ปัจจุบันทุกฝ่ายกำลังเร่งหาวิธีการเพื่อนำทุกคนกลับออกมาให้ได้อย่างปลอดภัยที่สุด ด้วยการทำงานอย่างแข็งขัน และทุ่มเทท่ามกลางอุปสรรคตลอดจนความคาดหวังมากมาย เครือข่ายขอขอบคุณเจ้าหน้าทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชน คนไทยและชาวต่างชาติที่ส่งแรงกายและแรงใจ ค้นหาจนพบทั้ง 13 ชีวิต อย่างไรก็ตามจากข่าวล่าสุดที่สร้างความสะเทือนใจให้คนไทยทั้งประเทศตามมาคือการจากไปของ จ.อ.สมาน กุนัน อดีตหน่วยซีล ที่เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือเด็กๆออกจากถ้ำในวันนี้ เครือข่ายขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง และขอให้กำลังใจครอบครัวผู้สูญเสีย กับภารกิจในครั้งนี้
ท่ามกลางกระแสความคิดเห็นของผู้คน โดยเฉพาะที่ผ่านสื่อออนไลน์ได้ถาโถมพุ่งเข้าใส่สถานการณ์นี้ทั้งที่เป็นบวกและลบ ปรากฏข้อความทำนองตำหนิเด็กว่าเข้าไปทำไม เริ่มมีข้อวิจารณ์ว่าเด็กควรถูกลงโทษ ควรทำให้สำนึกอย่างไรเมื่อกลับออกมา เนื่องจากได้สร้างปัญหาสร้างความเดือดร้อน ควรจะต้องมีการออกมาขอโทษสังคม พร้อมกับมีคำถามว่าเด็กเหล่านี้คือ ฮีโร่ หรือเด็กซนที่สมควรถูกพ่อแม่สั่งสอนทำโทษใช่หรือไม่ ลุกลามไปถึงการเตรียมการช่วยเหลือเด็กๆและครอบครัวในด้านต่างๆ ของหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ที่ถูกสังคมออนไลน์บางกลุ่มนำมาเปรียบเทียบกับเงินที่ชาวนาจะได้รับชดเชย จากการเสียสละให้นาข้าวเป็นที่รับน้ำ กลายเป็นเรื่องที่วกกลับไปที่ตัวเด็กอีกว่า สร้างปัญหาแล้วยังได้เงินช่วยเหลือมากกว่า ที่น่าห่วงมากคือการเลยเถิดไปถึงขั้นกล่าวโทษเด็กๆในทำนองเป็นต้นเหตุนำมาซึ่งการเสียชีวิตของอดีตหน่วยซีลในวันนี้ ซึ่งสร้างความวิตกกังวลให้กับองค์กรที่ทำงานด้านเด็ก เยาวชนและครอบครัว ซึ่งในสถานการณ์นี้ เครือข่ายขอแสดงจุดยืนและมีข้อเรียกร้องต่อทุกฝ่าย ดังต่อไปนี้
1.การกระทำใดๆก็ตามต่อกรณีนี้ทั้งการช่วยเหลือ เยียวยา การนำเสนอข่าวสาร ตลอดการวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ต้องคำนึงถึงสิทธิ ที่เด็กพึงได้รับตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กเพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็ก เช่นสิทธิในการอยู่รอดได้รับการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐาน มีสันติภาพ และความปลอดภัย เด็กจึงควรได้รับการประเมินผลกระทบทั้งด้านร่างกาย และจิตใจ และต้องได้รับการเยียวยา เสริมพลังอย่างเหมาะสม สิทธิส่วนตัวของเด็ก และครอบครัวต้องไม่ถูกละเมิดเด็กและเยาวชนทุกคนตลอดจนครอบครัว ควรต้องกลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติโดยเร็ว ภายหลังการฟื้นฟูเยียวยาตามกระบวนการที่ถูกต้อง ทั้งนี้ รัฐ หน่วยงานต่างๆรวมถึงสื่อมวลชน ไม่ควรทำให้ชีวิตของเขาเหล่านี้ผิดไปจากปกติที่เขาดำเนินชีวิต
2.ขอย้ำเตือนว่าทั้ง 13คนคือ “ผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ”ไม่ต่างจากกรณีอื่นๆเลย (ไม่ว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นกับเด็กหรือผู้ใหญ่) เด็กๆจึงไม่ใช่จำเลยสังคม การออกแบบวิธีการอยู่รอด การจัดการตัวเอง ความสามัคคี อดทนอดกลั้นจนมีชีวิตรอดรวมถึงภาวะผู้นำของโค้ชซึ่งเป็นเยาวชนต่างหาก คือสิ่งที่ทุกฝ่ายควรชื่นชม มีคุณค่าต่อการเรียนรู้ต่อยอด จำเป็นที่ทุกฝ่ายต้องยุติการตั้งคำถามหรือสร้างเงื่อนไขใดๆที่บ่งชี้การซ้ำเติม สร้างปมภายในจิตใจของเด็กๆและครอบครัว
3.เพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็กเยาวชนหลังจากที่เด็กกลับออกมา สิ่งที่ควรเกิดขึ้นคือขอให้ผู้รับผิดชอบสร้างพื้นที่หรือช่องทางให้ข้อมูลกลางออกมาเพียงจุดเดียว โดยสื่อมวลชนไม่ควรตามไปที่เด็ก เยาวชนและครอบครัว จำเป็นอย่างยิ่งที่เด็กๆต้องเข้าสู่กระบวนการเยียวยาฟื้นฟู ได้รับการประเมินสุขภาพกายและสุขภาพจิตก่อน การสอบถามข้อมูลใดๆขอให้ผ่านนักสังคมฯนักจิตแพทย์หรือคนกลางเท่านั้น
4.ในระหว่างการรอคอยการออกมาของทั้ง13ชีวิต เครือข่ายขอเรียกร้องให้สื่อมวลชน รวมถึงสื่อออนไลน์ต่างๆ ยุติความพยายามหาข้อมูลข่าวสารที่เกินความจำเป็นแม้เป็นเรื่องที่สังคมอยากรับรู้ตลอดเวลาก็ตาม เพราะอีกด้านหนึ่งคือการกดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่ ทำให้ขาดความเป็นอิสระ และประชาชน สังคมผู้เสพข่าว ติดตามสถานการณ์ก็ควรเรียนรู้ที่จะอดทน รอคอยรับทราบข้อมูลตามจังหวะเวลาซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดชี้แจงไว้
5.ถือเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องสรุปบทเรียนการประสบภัยธรรมชาติของทั้ง13ชีวิตอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่เป็น “จุดแข็ง” เป็นที่ประจักษ์ ตลอดจนปัญหาอุปสรรคเพื่อเป็นบทเรียนต่อไป