posttoday

ป.ป.ท.ยันสอบอดีตปลัดพม.โกงเงินคนจนตามหน้าที่ไม่มีกลั่นแกล้งใคร

29 มิถุนายน 2561

ป.ป.ท.ยันสอบอดีตปลัดพม.กินยาฆ่าตัวตายปมทุจริตเงินคนจนตามอำนาจหน้าที่ทำคดีตามหลักฐานไม่ได้กลั่นแกล้งใครจนปปง.อายัดทรัพย์ 88 ล้านบาท

ป.ป.ท.ยันสอบอดีตปลัดพม.กินยาฆ่าตัวตายปมทุจริตเงินคนจนตามอำนาจหน้าที่ทำคดีตามหลักฐานไม่ได้กลั่นแกล้งใครจนปปง.อายัดทรัพย์ 88 ล้านบาท

พ.ท.กรทิพย์ ดาโรจน์  เลขาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) กล่าวถึงกรณีนายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ อดีตปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ซึ่งพัวพันกับการทุจริตเงินช่วยเหลือคนยากจนและคนไร้ที่พึ่ง เสียชีวิตจากการกินยาฆ่าตัวตายว่า ป.ป.ท.ดำเนินการไปตามอำนาจหน้าที่และพยานหลักฐาน ไม่ได้กลั่นแกล้งใคร เมื่อตรวจสอบพบความผิดก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ในส่วนของข้าราชการระดับสูงซึ่งอยู่นอกอำนาจการไต่สวนของป.ป.ท.ได้ส่งสำนวนไปให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการ ขณะเดียวกับป.ป.ท.ก็ได้ส่งหลักฐานไปให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตรวจสอบธุรกรรมการเงินจนมีคำสั่งอายัดทรัพย์กับบุคคลที่เกี่ยวข้องไปแล้ว ส่วนกรณีการฆ่าตัวตายนั้นไม่ขอแสดงความเห็น

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.61 คณะกรรมการธุรกรรม ปปง. มีมติให้อายัดทรัพย์สินของกลุ่มบุคคลที่มีพฤติการณ์ทุจริตการยักยอกเงินช่วยเหลือคนยากไร้ ซึงมีความเกี่ยวข้องกับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)   3 ราย ได้แก่ นายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ อดีตปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายณรงค์ คงคา อดีตรองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และนายธีรพงษ์ ศรีสุคนธ์ อดีตผู้ตรวจราชการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
มีพฤติการณ์ทุจริตการยักยอกเงินช่วยเหลือคนยากไร้ และบุคคลที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับบุคคลดังกล่าว ประมาณ 12 ราย เช่น ที่ดิน ห้องชุด รถยนต์หรู เงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร และหลักทรัพย์ต่างๆ รวม 41 รายการ มูลค่าประมาณ 88 ล้านบาท เพื่อดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน โดยปปง.ตรวจสอบพบพฤติการณ์การทำงานเป็นขบวนการผ่านทางการจัดสรรเงินงบประมาณลงไปยังศูนย์และหน่วยงานต่างๆ ในสังกัดทั่วทุกภาค และมีการจัดทำเอกสารการเบิกจ่ายเงินงบประมาณอันเป็นเท็จโดยนำเงินที่ได้จากการทุจริตเบิกจ่ายส่งกลับคืนไปยังผู้บริหารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการในขณะนั้น และแปลงเงินไปเป็นทรัพย์สินในรูปแบบอื่นให้กับบุคคลที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์เช่น ที่ดิน ห้องชุด รถยนต์หรู เงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร และหลักทรัพย์ต่างๆ