posttoday

คอลเซ็นเตอร์โผล่อาละวาด

29 พฤษภาคม 2561

ตำรวจเตือนระวังตกเป็นเหยื่อเก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้อุบายลวงให้ปิดบัญชีเก่าเปิดบัญชีใหม่แล้วให้โอนเงินตัวเอง

ตำรวจเตือนระวังตกเป็นเหยื่อเก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้อุบายลวงให้ปิดบัญชีเก่าเปิดบัญชีใหม่แล้วให้โอนเงินตัวเอง

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว (รอง ผบช.ทท.) เปิดเผยว่า ในช่วงเดือน พ.ค. กลุ่มคอลเซ็นเตอร์กลับมาก่อเหตุหลอกลวงชาวไทยได้รับความเสียหาย 10-20 คนมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท โดยใช้กลอุบายใหม่โทรให้เหยื่อไปเปิดบัญชีใหม่และปิดบัญชีเก่า ก่อนจะให้เหยื่อโอนเงินเข้าบัญชีใหม่ที่ตัวเองเปิด แล้วคนร้ายจะใช้อุบายทำธุรกรรมทางอี-แบงก์กิ้ง จากนั้นลวงขอเลขโอทีพีเพื่อโอนเงินเข้าบัญชีคนร้าย ที่เป็นแบบนี้เนื่องจากปัจจุบันแทบไม่มีชาวไทยรับจ้างเปิดบัญชีแล้ว หลังหลอกเหยื่อสำเร็จคนร้ายจะไปกดเงินที่ต่างประเทศ

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า ประเทศไต้หวันคือฐานปฏิบัติการใหญ่ของกลุ่มคอลเซ็นเตอร์ มีจุดกำเนิด มีคีย์แมน มีขบวนการ เพราะไต้หวันมีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี สำหรับคนร้ายชาวไต้หวัน ซึ่งถูกตำรวจจับกุมดำเนินคดีไปแล้วกว่า 40-50 ราย หัวหน้าขบวนการใหญ่มีการจับกุมแล้ว ที่เหลือคือเครือข่ายที่ต้องติดตามจับกุม อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันนี้พบชาวไทยยังคงเคลื่อนไหวรับเปิดบัญชีอยู่ที่ จ.จันทบุรี และในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขณะนี้รู้ตัวและกำลังติดตามจับกุมแล้ว และจะประสานสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ยึดทรัพย์ด้วย

ด้าน นายพีระพัฒน์ อิงพงษ์พันธ์ ผู้อำนวยการกองคดี 1 ในฐานะรองโฆษก ปปง. กล่าวว่า การคืนเงินที่อายัดได้ให้กับประชาชนครั้งที่ 16 จำนวน 5 ราย รวมเงินกว่า 467,359 บาท หลังถูกแก๊ง คอลเซ็นเตอร์โทรศัพท์หลอกลวงเป็นบุคคลอื่นให้หลงเชื่อเพื่อโอนเงินให้มีผู้หลงเชื่อจำนวนมาก ซึ่งก่อนหน้านี้ส่งมอบเงินคืนผู้เสียหายไปแล้วทั้งสิ้น 82 ราย รวมเป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 12 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม สำหรับสถิติการจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตั้งแต่วันที่ 8 ธ.ค. 2560 ถึงปัจจุบัน มีคดีเกิดขึ้น 445 คดี มูลค่าความเสียหายกว่า 235 ล้านบาท และในจำนวนนี้สามารถอายัดเงินของผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงจากคนร้ายแก๊ง คอลเซ็นเตอร์คืนให้แก่ผู้เสียหายได้จำนวน  85 คน เป็นเงินกว่า 36 ล้านบาท