posttoday

นักธุรกิจร้องยธ.ทวงเพชรของกลาง11ล้านหลังอัยการไม่ฟ้อง แต่ตร.ยังไม่คืนให้

25 เมษายน 2561

อดีตนักธุรกิจหญิงร้องก.ยุติธรรมตรวจสอบ พนักงานสอบสวนไม่คืนเพชรของกลางมูลค่า 11 ล้านบาท หลังอัยการสั่งไม่ฟ้องคดี

อดีตนักธุรกิจหญิงร้องก.ยุติธรรมตรวจสอบ พนักงานสอบสวนไม่คืนเพชรของกลางมูลค่า 11 ล้านบาท หลังอัยการสั่งไม่ฟ้องคดี

เมื่อวันที่ 25 เม.ย. น.ส.จีระพันธ์ จุลพันธ์ อายุ 53 ปี ผู้เสียหายจากการถูกดำเนินคดียักยอกทรัพย์ยื่นเรื่องร้องทุกข์ต่อนายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกกระทรวงยุติธรรม เพื่อขอให้ตรวจสอบกรณีพนักงานสอบสวนไม่คืนของกลางและขอให้รับเป็นคดีพิเศษพร้อมทั้งช่วยเหลือในการประสานงานขอเพชรของกลางคืนมูลค่า 11 ล้านบาทคืนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้ยึดและอายัดเพชรไว้เนื่องจากพนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องผู้เสียหายในข้อหายักยอกทรัพย์และให้เจ้าหน้าที่ตำรวจคืนของกลางให้แก่ผู้ร้อง

น.ส.จีระพันธ์ กล่าวว่า ตนมีอาชีพทำธุรกิจค้าขายเพชรมานานแล้วปกติเวลาทำธุรกิจต้องมีเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งในวงการจะทราบกันดีว่าหากหมุนเงินไม่ทัน ก็จะนำเพชรไปจำนำที่โรงรับจำนำโดยวันเกิดเหตุได้นำเพชรจำนวน17 รายการมูลค่า 11 ล้านบาทไปจำนำเพื่อนำเงินมาใช้หมุนเวียนในธุรกิจ ต่อมาเมื่อวันที่ 10 ก.ค.56ถูกช่างทำทองที่เคยรับงานจากทางร้านของตนไปแจ้งความที่สถานีตำรวจกองปราบปรามพร้อมทั้งกล่าวหาตนและนายวรดิษฐ์ จุลพันธ์ หลานชายในข้อหายักยอกทรัพย์เป็นเพชร 11 ล้านบาททั้งที่ตนมีหลักฐานในการซื้อขายเพชรจากต่างประเทศ

โดยหลังรับแจ้งความในวันเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ไปอายัดเพชรของกลางจากโรงรับจำนำจากนั้นได้เซ็นชื่อจากต้นขั้วอายัดและไถ่ถอนออกจากโรงรับจำนำไปให้นายทุนนำไปปล่อยที่โรงจำนำเดิมก่อนปล่อยหลุดจำนำซึ่งเพชรของกลางไม่เคยถูกนำเข้ามาอยู่ในสำนวนการสอบสวน

น.ส.จีระพันธ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ในการตรวจของกลางเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบก็ไม่เคยเรียกตนไปร่วมยืนยันหรือสังเกตการณ์ ต่อมาภายหลังพนักงานสอบสวนมีความเห็นไม่ฟ้องตนและนายวรดิษฐ์และอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 7 ก็มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องเช่นกันพร้อมทั้งสั่งให้คืนของกลางตั้งแต่วันที่ 8 ก.พ.61 ตนจึงเดินทางไปติดต่อขอของกลางคืนแต่ไม่ได้คืนและไม่ได้รับทราบความคืบหน้าแต่อย่างใด

ทั้งนี้กรณีดังกล่าวตนได้แจ้งความกับช่างทำทองและพนักงานสอบสวนในข้อหาแจ้งความเท็จและปฏิบัติหน้าที่มิชอบ มาตรา 157ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำคุก 1 ปี ขณะนี้คดียังอยู่ระหว่างฎีกา

“คดีดังกล่าวทำให้ตนเสียชื่อเสียทำให้ไม่สามารถทำธุรกิจต่อไปได้ทั้งที่ไม่ได้กระทำผิดเพราะมีหลักฐานซื้อขายทุกอย่างจนต้องขายบ้านนำทรัพย์สินมาต่อสู้คดีจนหมดตัว แต่ของกลางก็ไม่ได้คืนจึงต้องมาขอความช่วยเหลือซึ่งปัจจุบันขายน้ำเก็กฮวยอยู่ที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสบางหว้ามีรายได้วันละ400 บาท ”น.ส.จีระพันธ์ กล่าว

ขณะที่นายธวัชชัย กล่าวว่าหลังรับคำร้องกระทรวงยุติธรรมจะส่งหนังสือถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ผ่านศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.)อ้างถึงคำสั่งคสช.ที่กำหนดให้ต้นสังกัดตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีผู้ใต้บังคับบัญชาถูกร้องเรียนกระทำทุจริตและประพฤติมิชอบภายใน7 วัน และตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน หากคดีมีมูลพอเชื่อได้ว่ากระทำความผิดจริงหัวหน้าส่วนราชการต้องปรับไปดำรงตำแหน่งอื่นชั่วคราวในกรณีกระทำผิดร้ายแรงและอาจยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานต้องให้ย้ายออกนอกหน่วย

"กรณีของน.ส.จีระพันธ์ สตช.ต้องมีคำตอบให้ผู้ร้องภายใน 37 วันมิเช่นนั้นกระทรวงยุติธรรมจะส่งเรื่องให้ศอตช.ดำเนินการในทันที"นายธวัชชัยกล่าว