posttoday

ผู้ตรวจศธ.หิ้วคอม "รจนา"นำพยาน 2 ปากส่ง ป.ป.ท.ไต่สวนเอาผิด

10 เมษายน 2561

ผู้ตรวจศธ.หิ้วคอม” รจนา” พร้อมนำพยาน 2 ปากส่ง ป.ป.ท.ไต่สวนเอาผิด แนะผู้เปิดบัญชีให้ข้อมูลศธ.-ป.ป.ท.ขณะที่พยานอดีตนักเรียนทุนเผยเชื่อใจยอมเปิดบัญชีให้

ผู้ตรวจศธ.หิ้วคอม” รจนา” พร้อมนำพยาน 2 ปากส่ง ป.ป.ท.ไต่สวนเอาผิด แนะผู้เปิดบัญชีให้ข้อมูลศธ.-ป.ป.ท.ขณะที่พยานอดีตนักเรียนทุนเผยเชื่อใจยอมเปิดบัญชีให้

เมื่อวันที่ 10 เม.ย. สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตภายในภาครัฐ (ป.ป.ท.) นายอรรถพล ตรึกตรอง ผู้ตรวจราชการ กระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงการทุจริตเงินกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต นำเอกสารหลักฐานการทุจริต และเครื่องคอมพิวเตอร์ในห้องทำงานของนางรจนา สินที อดีตข้าราชการซี 8 ,เป็นหลักฐานประกอบสำนวนคดีให้กับ ป.ป.ท. และเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับข้าราชการจำนวน 44 ราย นอกจากนี้ ยังนำพยานบุคคล 2 ราย ที่เปิดบัญชีรับโอนเงินจากกองทุนเสมาฯให้กับนางรจนา เข้าให้ปากคำกับคณะอนุกรรมการไต่สวนของป.ป.ท.ด้วย โดยพยานปากแรกเป็นอดีตนักศึกษาทุนเสมาฯ เมื่อเรียนจบได้รับการบรรจุเป็นลูกจ้างของสำนักงานปลัดศธ. ส่วนพยานอีกปากเป็นหุ้นส่วนธุรกิจของนางรจนา โดยร่วมกันทำธุรกิจมูลนิธิที่นางรจนาก่อตั้งขึ้น

นายอรรถพล กล่าวว่า หลังจากกรรมการสืบสวนของศธ.พบข้อมูลเพิ่มเติม จึงนำเอกสารยื่นให้ป.ป.ท.พร้อมร้องทุกข์กล่าวโทษกับข้าราชการที่เกี่ยวข้องอีก44 ราย โดยแยกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มรับโอนเงินบ่อยที่สุดซึ่งเป็นกลุ่มของนางรจนาและเครือญาติ 2.กลุ่มเพื่อนของนางรจนาโดยเฉพาะเพื่อนที่เรียนปริญญาโทด้วยกัน 3.นักเรียนที่ได้รับทุนเสมาฯ ซี่งมีความใกล้ชิดกับนางรจนา และ 4.กลุ่มมูลนิธิบางแห่งที่เคยร่วมกิจกรรมของศธ.ตั้งแต่ปี 58 และมูลนิธิก็เคยทำหนังสือไปถึงสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เพื่อขอร่วมกิจกรรมของโรงเรียนสพฐ.ทั่วประเทศ โดยในชั้นการตรวจสอบพบเงินถูกโอนเข้าบัญชีส่วนตัวของเจ้าของมูลนิธิและผู้เกี่ยวข้อง

สำหรับการโอนเงินกองทุนเสมาฯ ตั้งแต่วันที่ 17 ส.ค.2548 – เดือนพ.ย. 60มีเงินโอนเข้าบัญชีทั้งหมด 1,049 รายการ วงเงินกว่า 230 ล้านบาททั้งที่ตรวจสอบพบแล้วและยังตรวจสอบไม่พบ 471 บัญชี เป็นการโอนเงินเข้าบัญชีที่ไม่เกี่ยวข้องจำนวน 52 บัญชี

ส่วนบัญชีที่ตรวจสอบระบุตัวตนได้แล้ว 34 บัญชี และยังไม่ระบุตัวตนอีก 18 บัญชี  เบื้องต้นประเมินความเสียหายที่ 96 ล้านบาทเศษและคาดว่าวงเงินความเสียหายจะลดลงอีกยืนยันว่าความเสียหายไม่ใช่หลักร้อยล้านบาทตามที่ระบุก่อนหน้านี้โดยขณะนี้ยังเหลืออีกกว่า 10 จังหวัดที่ยังตรวจสอบไม่แล้วเสร็จโดยเฉพาะจังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือ และอยู่ในช่วงโรงเรียนปิดเทอมคาดว่าหลังเปิดทำการสงกรานต์ข้อมูลทั้งหมดจะส่งมาถึงศธ.

ผู้ตรวจราชการศธ. กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบยืนยันตัวบุคคลที่มีบัญชีรับเงินจากกองทุนเสมาฯ ขณะนี้มี 34 ราย พบรายชื่อข้าราชการและชื่อ-นามสกุลตรงกับข้าราชการ 7 คน เป็นข้าราชการชำนาญการพิเศษในสังกัดศธ. หรือระดับ 8 จำนวน 2-3 คน ส่วนที่เหลือเป็นระดับปฏิบัติการ และทหารยศนายสิบซึ่งบางคนได้เข้ามายืนยันตัวตนกับศธ.แล้ว แต่ยังไม่ได้ชี้แจงข้อเท็จจริง ส่วนที่เหลือยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบโดยจะทำหนังสือถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมที่ดิน หน่วยทหาร กรุงเทพมหานคร และกรมในสังกัดศธ. ให้ตรวจสอบรายชื่อ-นามสกุล ข้าราชการที่ตรงกับชื่อบัญชีผู้รับเงินจากกองทุนเสมาฯ ทั้งนี้เพื่อยืนยันตัวบุคคลที่แท้จริงเนื่องจากในฐานข้อมูลทะเบียนราษฎรมีคนที่มีชื่อและนามสกุลซ้ำกันเป็นจำนวนมากก่อนที่จะดำเนินการใดๆจึงต้องตรวจสอบยืนยันตัวบุคคลให้ชัดเจนก่อน

“ขณะนี้ตัวเลขความเสียหายยังระบุไม่ได้ชัดเจน จากข้อเท็จจริงคือมีการโอนเงินจากสำนักปลัดศธ. และเงินหมุนเวียนอยู่ในบัญชี ใครที่เป็นเจ้าของบัญชีถ้าไปขอดูสเตทเมนท์จะทราบว่าเงินถูกโอนมาจากสำนักงานปลัด ซึ่งจะปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องไม่ได้ แต่ถ้ายืนยันว่าไม่มีส่วนรู้เห็นจริงๆก็ให้แจ้งมาที่ศธ. หรือเข้าให้ข้อมูลที่ป.ป.ท.เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจจากการพูดคุยกับพยานที่เป็นอีกนักเรียนทุนพบว่า รับโอนเงินทั้งหมด 7 ครั้ง รวมกว่า 1 ล้านบาท และยังได้ชวนเพื่อนสนิทมาเปิดบัญชีให้กับนางรจนาด้วยแต่การตรวจสอบยังไม่พบว่ามีการโอนเงินเข้าไปยังบัญชีดังกล่าว” นายอรรถพล กล่าว

พ.ท.กรทิพย์ ดาโรจน์ เลขาธิการป.ป.ท. กล่าวว่าคดีดังกล่าวป.ป.ท.ได้ตั้งอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงแล้วขั้นตอนอยู่ระหว่างการตรวจสอบเอกสารหลักฐานที่ยึดจากบ้านของนางรจนาในระหว่างนี้ไม่จำเป็นต้องเรียกนางรจนามาเข้าให้ปากคำเพราะป.ป.ท.ทำงานในระบบไต่สวนมีกรอบระยะเวลา 6 เดือนขณะนี้เพิ่งทำงานไปได้เพียง 15 วันตามขั้นตอนคือต้องตรวจสอบให้ครบถ้วนแล้วเรียกนางรจนามารับทราบข้อกล่าวหาซึ่งกระบวนการยุติธรรมเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้แสดงหลักฐานเอกสารผู้ถูกกล่าวหาก็มีสิทธิแสดงความบริสุทธิ์ในส่วนของคำร้องทุกข์กล่าวโทษและหลักฐานที่ศธ.นำมายื่นเพิ่มเติมสำนักงานป.ป.ท.ต้องเสนอให้บอร์ดป.ป.ท.ลงมติตั้งอนุกรรมการไต่สวนเป็นรายบุคคลให้ครบทั้ง44 ราย โดยที่ผ่านมา ศธ.ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษกับนางรจนาเพียงรายเดียว ในส่วนของปปง.ได้เข้าร่วมตรวจสอบมาตั้งแต่ต้น

ล่าสุดแจ้งคณะกรรมการธุรกรรมมีมติอนุมัติให้ตรวจสอบทรัพย์สินของผู้เกี่ยวข้องกับการทุจริตเงินกองทุนเสมาฯแล้วส่วนบุคคลที่มีชื่อเปิดบัญชีรับโอนเงินให้กับนางรจนา 2 รายขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังสอบปากคำ ในส่วนของยอดเงินที่บุคคลทั้ง 2รับโอนถือเป็นรายละเอียดในสำนวนคดีไม่สามารถเปิดเผยได้ทั้งนี้ป.ป.ท.ยังตอบไม่ได้ว่าจะสามารถกันตัวไว้เป็นพยานได้หรือไม่โดยข้อมูลจากการให้ปากคำต้องนำไปประกอบกับหลักฐานทั้งหมดเพื่อเสนอให้บอร์ดพิจารณาลงความเห็นต่อไป

ด้านอดีตลูกจ้างสำนักงานปลัดศธ. ซึ่งระบุว่าเป็นพยานในคดี กล่าวว่าตนรู้จักกับนางรจนาตั้งแต่ปี 2536เนื่องจากเป็นนักเรียนที่ได้รับทุนเสมาฯ ในปีนั้น แต่มาสนิทกันในปี 2548ซึ่งเข้ามาทำงานในกองทุนเสมาฯ ส่วนตัวเชื่อว่านางรจนาเป็นคนดีเป็นผู้ให้คำปรึกษาที่ดี จึงนับถือเหมือนเป็นแม่อีกคนหนึ่งที่ผ่านมาไม่เคยสงสัยว่านางรจนาเกี่ยวข้องกับการทุจริต กระทั่งปี 2550นางรจนาขอให้ตนเปิดบัญชีธนาคารให้ด้วยความสนิทกันจึงทำตามที่นางรจนาร้องขอ โดยในช่วงที่ตนถือสมุดบัญชีคือ ปี 2551 ทราบว่ามีการโอนเงินเข้าบัญชี 2-3 ครั้ง ยอดเงินหลักหมื่นบาทหลังจากนั้นนางรจนาก็ขอสมุดบัญชีและบัตรเอทีเอ็มไปทำให้ตนไม่ทราบความเคลื่อนไหวทางบัญชีอีกเลยและไม่ทราบว่าเงินหลักแสนบาทโอนเข้าบัญชีในช่วงใดแต่หลังทราบข้อเท็จจริงก็ไปขอสเตทเมนท์ที่ธนาคารและได้สอบถามไปยังนางรจนาซึ่งนางรจนาพูดเพียงว่าเอาไว้ค่อยคุยกัน จากนั้นก็ใม่ได้ติดต่อกันอีกเลยอย่างไรก็ตาม เท่าที่รู้จักกับนางรจนา คิดว่าครูไม่มีเงินแต่ครูเคยคุยเรื่องชีวิตส่วนตัวและการทำงานให้ฟังจึงเชื่อว่าเงินที่มีเป็นเงินรายได้จากการทำงานก่อนเกิดเหตุนางรจนายังเคยโทรศัพท์มาขอยืมเงิน โดยระบุว่าหมุนเงินไม่ทันขอให้ช่วยโอนเงินให้ ตนก็ให้ยืมในหลักพันบาท

ภาพประกอบข่าว