แฉผู้บริหารกระทรวง เบื้องหลังโกงศูนย์คนไร้ที่พึ่ง งาบเงินทอนสูง50%

ปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้าน รายงานว่า สองผู้บริหารกระทรวงเบื้องหลังโกงศูนย์คนไร้ที่พึ่ง โดยได้รับทอนสูงสุด 50%

กรณีนิสิตมหาวิทยาลัยชื่อดัง ออกมาเปิดโปงการทุจริตของเจ้าหน้าที่โกงเงินคนด้อยโอกาสคนติดเชื้อศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จ.ขอนแก่น จนนำไปสู่การตรวจสอบของ ป.ป.ท.

ล่าสุด ปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้าน เพจเปิดโปงข้อมูลการทุจริตภาครัฐ รายงานว่า มีสองผู้บริหารกระทรวงอยู่เบื้องหลังการโกงคนด้อยโอกาสคนติดเชื้อศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งขอนแก่น

อย่าได้แปลกใจหากพบโกงแทบทุกศูนย์ทั่วประเทศ เบื้องลึกเรื่องนี้ใหญ่กว่าระดับ ผอ.ศูนย์ เป็นขบวนการเรียกเงินทอน 20-50% เบื้องหลังคือไอ้โม่งสองรายระดับบิ๊กในกระทรวง ซึ่งรัฐมนตรีว่าการก็รู้

ภายใต้กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีกองที่เกี่ยวข้องกับเงินสงเคราะห์ 2 กอง หนึ่งคือกองคุ้มครองสวัสดิภาพและเสริมสร้างคุณภาพชีวิต ดูแลสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง 11 แห่ง กับศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง 37 แห่ง สองคือกองพัฒนาสังคมกลุ่มเป้าหมายพิเศษ ดูแลนิคมสร้างตนเอง 43 แห่ง กับศูนย์พัฒนาราษฎรบนที่สูง (ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา) 16 แห่ง

ศูนย์ฯ นิคมฯ และสถานคุ้มครองฯ ทั่วประเทศมีทั้งหมด 107 แห่ง แต่ละปีเกี่ยวข้องกับเงินอุดหนุนประเภทสงเคราะห์หลักร้อยล้านบาท โดยอธิบดีเป็นผู้อนุมัติหลักการไปยังศูนย์ฯ แต่ละแห่งได้ไม่เท่ากันขึ้นกับจำนวนประชากร จำนวน อปท. พื้นที่ประสบภัยพิบัติตามประกาศของมหาดไทยและเส้นความยากจนของสภาพัฒน์ฯ

ปีงบประมาณ 2560 เฉพาะไตรมาสแรก ได้ทำการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนประเภทสงเคราะห์ให้กับหน่วยงานในสังกัดไปทั้งสิ้น 193,110,850 บาท มีการเรียกกลับคืน 20-50% ผ่านการวางคนของตัวเองเป็นผู้อำนวยการศูนย์และนิคมบางแห่ง ได้กี่เปอร์เซ็นต์แล้วแต่ความสามารถของผู้บริหารศูนย์ ซึ่งเกี่ยวพันกับการปลอมแปลงเอกสาร จ่ายไม่ครบและสวมรายชื่อเบิกจ่ายอย่างที่ปรากฎเป็นข่าว หน่วยไหนได้รับจัดสรรเกินล้านบาทให้ตั้งข้อสังเกต ส่วนความสามารถในการทอนจะเชื่อมโยงกับการขยับตำแหน่ง

เบื้องหลังมีข้าราชการใหญ่เกี่ยวข้องสองรายเป็นระดับอดีตอธิบดีและรองอธิบดี ปัจจุบันเป็นผู้บริหารกระทรวง รายหนึ่งติดร่างแหเหตุการณ์ในกระทรวงแรงงานเมื่อราวปี 2550 เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุลมาขอเข้ารับราชการในกระทรวงพม. อีกรายเป็นข้าราชการซีสูงที่อายุน้อยที่สุด

เรื่องเหล่านี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รับทราบมาตั้งแต่เดือนมิถุนายนปีที่แล้ว