posttoday

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนรอลงอาญา 2 ปี "น็อตกราบรถ"

13 กุมภาพันธ์ 2561

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้รอลงอาญา "น็อตกราบรถ" 2 ปี ชี้ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจรอลงอาญาเหมาะสมแล้ว ทนายระบุ บำเพ็ญประโยชน์ครบเงื่อนไขคุมประพฤติ

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้รอลงอาญา "น็อตกราบรถ" 2 ปี ชี้ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจรอลงอาญาเหมาะสมแล้ว ทนายระบุ บำเพ็ญประโยชน์ครบเงื่อนไขคุมประพฤติ

เมื่อวันที่ 13 ก.พ. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลได้อ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ คดีที่พนักงานอัยการคดีอาญากรุงเทพใต้ 2 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายอัครณัฐ หรือน็อต อริยฤทธิ์วิกุล อายุ 30 ปี ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น "ธีร์" อดีตพิธีกรดัง และนายวิทวัส ศรีบัณฑิตมงคล อายุ 29 ปีเพื่อนของนายอัครณัฐ เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 , ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดฯ โดยใช้กำลังประทุษร้ายจนต้องกระทำการนั้น มาตรา 309 , หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นฯ มาตรา 310 และกระทำการอันเป็นการรังแกหรือข่มเหงผู้อื่นให้ได้รับความอับอายหรือความเดือดร้อนรำคาญ มาตรา 397

โดยคำฟ้องอัยการ บรรยายพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 4 พ.ย.59 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้กำลังประทุษร้าย ดึงกระชากคอเสื้อของนายกิตติศักดิ์ หรือบอย สิงห์โต อายุ 27 ปี โดยผู้เสียหายขี่รถจักรยายนต์จากที่นั่งอยู่บนรถจักรยานยนต์ มาอีกฝั่งหนึ่งของถนนบริเวณปาก ซ.เจริญกรุง 44 แขวง-เขตบางรัก ที่มีรถยนต์ยี่ห้อ มินิ ของนายอัครณัฐ จำเลยที่ 1 จอดอยู่ แล้วใช้ฝ่ามือตบที่ใบหน้าของผู้เสียหาย 2 ครั้ง และต่อยที่บริเวณใบหน้าอีก 1 ครั้ง ทำให้กระดูกจมูกชิ้นใหญ่จำนวน 4 ชิ้นหัก และกระดูกจมูกชิ้นเล็กอีกจำนวนหลายชิ้นหัก รวมทั้งมีบาดแผลฟกช้ำบริเวณเบ้าตาทั้งสองข้าง และแก้มด้านซ้ายบวมซึ่งเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส

หลังจากนั้น จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันข่มขืนใจผู้เสียหายให้กราบรถยนต์ของนายอัครณัฐ จนทำให้ผู้เสียหายต้องจำยอมกราบรถจำเลยที่ 1 โดยไม่ได้สมัครใจซึ่งเป็นการรังแกหรือข่มเหงผู้เสียหายให้ได้รับความอับอาย

ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาไปเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.60 หลังจากจำเลยให้การรับสารภาพ โดยระหว่างการพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น จำเลย ได้เยียวยาผู้เสียหายด้วยการชดใช้เงินค่าผ่าตัดรักษาดั้งจมูกหักและค่าขาดรายได้รวม 180,000 บาท

ขณะที่คำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำคุกจำเลยทั้งสอง คนละ 2 ปีฐานทำร้ายร่างกายฯ ที่เป็นบทหนักสุด จำเลยรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่งจึงจำคุกคนละ 1 ปี แต่เมื่อศาลพิเคราะห์รายการสืบเสาะและพินิจแล้ว เห็นสมควรให้รออาญาไว้มีกำหนดคนละ 2 ปี โดยจำเลยทำกิจกรรมบริการสังคมอีก 24 ชั่วโมง และต้องให้รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติด้วยเป็นเวลา 4 ครั้งในระยะเวลา 1 ปี

แต่ต่อมา อัยการโจทก์ ได้ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลไม่รอการลงโทษเฉพาะ นายธีร์ จำเลยที่ 1 เนื่องจากเห็นว่า ที่จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหาย เนื่องจากคดีมีการนำเข้าสู่ศาล ไม่ได้เกิดจากการสำนึกผิดที่ต้องการเยียวยาผู้เสียหายจึงขอให้ไม่ให้รอการลงโทษเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างและมีการบังคับใช้กฎหมาย

โดยวันนี้นายนายน็อตเดินทางมาพร้อมครอบครัว และทนายความเพื่อฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่าที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้นเหมาะสมแล้ว อุทธรณ์อัยการโจทก์ ฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้รอลงอาญา เป็นเวลา 2 ปี

ด้านทนายความของนายน็อต เปิดเผยว่า การอุทธรณ์ อัยการยื่นอุทธรณ์ในส่วนของนายน็อต เพียงคนเดียวทั้งที่การกระทำนั้นถูกฟ้องว่าร่วมกัน และศาลลงโทษเท่ากันแล้วเราก็ปฏิบัติตามเงื่อนไขการคุมประพฤติทุกประการซึ่งเราก็ได้แก้อุทธรณ์ครบถ้วน ซึ่งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ได้ระบุรายละเอียดไว้อย่างดีประมาณ 10 กว่าหน้า ในการกระทำของนายน็อตว่าเหตุการณ์ตั้งแต่เริ่มแรกคืออะไรของเหตุบันดาลโทสะ แต่เมื่อมีการกระทำเกิดขึ้นก็ย่อมเป็นความผิดตามกฎหมาย ซึ่งศาลได้ใช้ดุลยพินิจอย่างเหมาะสม ส่วนคดีต้องรอดูอีก 30 วันว่า อัยการจะขออนุญาตฎีกาอะไรอีกหรือไม่ หากไม่คดีจะถือที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์นี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ นายน็อต ได้ทำงานบริการสังคม 24 ชั่วโมงตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วยการบริจาคเลือด , ล้างห้องน้ำวัดและโรงเรีนวัด  และรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติด้วยเป็นระยะเวลา 3 ครั้งแล้ว ก็คงเหลือนัดรายงานตัวครั้งสุดท้ายอีก 1 นัดเท่านั้นใน วันที่ 3 มี.ค. ซึ่งจะครบตามเงื่อนไข ที่กำหนดไว้ในการคุมประพฤติ 1 ปี