posttoday

ศาลแพ่งสั่ง "ศุภชัย" ชดใช้สหกรณ์ กว่า 9 พันล้าน

01 กุมภาพันธ์ 2561

ศาลแพ่งพิพากษาสั่ง "ศุภชัย ศรีศุภอักษร" พร้อมพวกรวม 26 คน ชดใช้เงินกว่า 9 พันล้านคืนสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น

ศาลแพ่งพิพากษาสั่ง "ศุภชัย ศรีศุภอักษร" พร้อมพวกรวม 26 คน ชดใช้เงินกว่า 9 พันล้านคืนสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น

เมื่้อวันที่ 1กพ. ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา ศาลได้อ่านคําพิพากษา คดีที่ "สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จํากัด" เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง "นายศุภชัย ศรีศุภอักษร" อดีตประธานสหกรณ์ฯ อายุ 61 ปี  และเจ้าหน้าที่สหกรณ์กับผู้รับเงิน รวม 32 คนเป็นจำเลย ในคดีหมายเลขดํา พ.3628/2557 และ พ.4462/2557 ที่ศาลรวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน

โดยฟ้องโจทก์ ระบุว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 ม.ค.52 - 30 พ.ค.55 ขณะที่ "นายศุภชัย" จําเลยที่ 1 ดํารงตําแหน่งประธานกรรมการดําเนินการสหกรณ์โจทก์ ได้ใช้อํานาจหน้าที่โดยมิชอบโดยไม่ได้กระทําภายในขอบวัตถุประสงค์ของโจทก์มีการเบิกจ่ายเงินโดยทุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนตัวและ เพื่อประโยชน์ผู้อื่น โดยเบิกจ่ายเงินด้วยเช็ครวม 878รายการ เป็นเงิน 11,367,218,813.84บ าท ซึ่งระบุว่าเป็นการทดรองจ่าย แต่ไม่มีการนําเงินที่เบิกจ่ายมาส่งคืนให้แก่โจทก์ โดยได้สั่งจ่ายเช็คให้แก่บุคคลภายนอก รวม 191 รายการ เป็นเงิน 4,036,846,911.44 บาท และสั่งจ่ายเช็คให้จําเลยที่ 2 รวม 22 รายการ เป็นเงิน 119,020,000บาท ส่วนจําเลยที่ 3 เป็นรอง ผจก.ใหญ่ของสหกรณ์โจทก์ ได้ลงนามสั่งจ่ายเช็คร่วมกับ จําเลยที่ 1โดยไม่มีอํานาจหน้าที่ในการสั่งจ่ายเช็ค

จําเลยที่ 4-5 เป็นเจ้าหน้าที่การเงินสหกรณ์โจทก์ได้ใช้อํานาจหน้าที่ของตนร่วมกันจงใจ ยินยอมและสนับสนุนให้จําเลยที่ 1เบียดบังและยักยอกเงินของสหกรณ์โจทก์ ส่วนจําเลยที่ 6-9ได้รับเงินหรือทรัพย์สินจากการที่จําเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คของสหกรณ์โจทก์อันเป็นการได้มาซึ่งเงินหรือทรัพยย์สินโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ จึงขอให้บังคับจําเลยที่ 1-2 ร่วมกันชําระเงิน 119,020,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย และบังคับให้จําเลยที่ 1,3,4,5 ร่วมกัน ชําระเงิน 9,522,533,049.50 บาท พร้อมดอกเบี้ย พร้อมทั้งให้จําเลยที่ 1ร่วมกับจําเลยที่ 6,7,8,9ชําระเงินคืนส่วนที่จําเลยแต่ละคนได้รับไป ระหว่างพิจารณาโจทก์ขอถอนฟ้องจําเลยที่ 4 ,  5 , 6 , 30 และวัดพระธรรมกาย กับพระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือพระญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโยิอดีตเต้าอาวาส ซึ่งถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ 31-32

ขณะที่ จําเลยร่วมให้การในทํานองเดียวกันว่า คดีโจทก์ขาดอายุความละเมิด 1 ปีนับแต่วันที่โจทก์รู้ว่ามีสิทธิเรียกคืน การใช้สิทธิฟ้องของโจทก์ไม่ใช่การใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์คืน เงิน และทรัพย์สินที่จําเลยที่ 6-9ได้มานั้น เป็นการได้มาโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นลาภมิควรได้ทั้งไม่เกี่ยวข้อง กับการกระทําความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2552 ขอให้ยกฟ้อง

ทั้งนี้ "ศาลแพ่ง" พิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว เห็นว่า ตามระเบียบของสหกรณ์โจทก์ ข้อ 20 กําหนดไว้ว่าการจ่ายเงิน ให้จ่ายเฉพาะเพื่อกิจการภายในขอบวัตถุประสงค์และเป็นไปโดยถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับ เเต่ปรากฏว่า "นายศุภชัย" อดีตปธ.สหกรณ์ จําเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็ค 878 ฉบับ โดยระบุในใบสําคัญจ่ายว่าเป็นเงินทดรองจ่ายให้กับ จําเลยที่ 1 จึงไม่ใช่การจ่ายเพื่อกิจการภายในขอบวัตถุประสงค์สหกรณ์โจทก์ การกระทําที่ผิดระเบียบของจําเลยที่ 1เป็นการกระทําทุจริตแสวงหาประโยชน์มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสําหรับตนเองและผูเอื่น โจทก์ในฐานะ เจ้าของเงินตามเช็คซึ่งจําเลยที่ 1ได้สั่งจ่าย จึงมีสิทธิติดตามเอาเงินตามเช็คพิพาท 878 ฉบับคืนได้ และจําเลยที่ 1 ยังสั่งจ่ายเช็คของโจทก์มอบให้จําเลยที่ 2 จํานวน 22 ฉบับ รวมเป็นเงิน 119,020,000บาท โดยระบุในใบสําคัญ จ่ายเงินว่าเป็นเงินสํารองจ่ายของจําเลยที่ 1ซึ่งไม่ถูกต้องตามระเบียบว่าด้วยการจ่ายเงินของสหกรณ์ที่ให้จ่ายเงินได้เฉพาะเพื่อกิจการภายในขอบวัตถุประสงค์ของโจทก์

ดังนั้นการกระทําของจําเลยที่ 1และที่ 2 จึงเป็นการกระทําโดยทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย "จําเลยที่ 1และที่ 2" จึงต้องร่วมกันคืนเงินจํานวน 119,020,000 บาทให้แก่นหกรณ์ฯ โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย

ส่วนที่ "จําเลยที่ 1" ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คร่วมกับจําเลยที่ 3 จํานวน 841ฉบับ เงินจํานวนดังกล่าวจําเลยที่ 1ได้สั่งจ่าย โดยระบุไว้ในใบสําคัญจ่ายเงินว่าเป็นเงินสํารองจ่ายของจําเลยที่ 1ซึ่งไม่ถูกต้องตามระเบียบว่าด้วยการจ่ายเงินของสหกรณ์เช่นกัน จึงถือได้ว่า "จําเลยที่ 1และที่ 3" กระทําโดยทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วย กฎหมายสําหรับตนเอง โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเพื่อติดตามเงิน จํานวน 9,522,533,049.50 บาทคืนจากจําเลยที่ 1และที่ 3 ได้

นอกจากนี้ การที่จําเลยที่ 1สั่งจ่ายเช็คของโจทก์มอบให้แก่บุคคลต่าง ๆ โดยไม่ใช่กิจการภายในขอบวัตถุประสงค์ของโจทก์จึงมีสิทธิเรียกเงินคืนจากจําเลยที่ 8-9 และจําเลยร่วมตามจํานวนที่จําเลยแต่ละคนได้รับ

สำหรับเงินที่ จําเลยร่วมอีก 3 คนได้รับจากจําเลยที่ 1นั้น ปปง.ได้ยึดและอายัดไว้ โจทก์จะต้องไปดําเนินการพิสูจน์สิทธิต่อไป

ดังนั้นที่ "โจทก์" ฟ้องเรียกเงินคืนจากจําเลยและจําเลยร่วม เนื่องจากจําเลยที่ 1และจําเลยที่ 3 ร่วมกัน สั่งจ่ายเช็คของโจทก์โดยไม่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของโจทก์และเป็นการผิดระเบียบข้อบังคับของโจทก์นั้น จึงเป็นการฟ้องเพื่อติดตามเอาทรัพย์ของโจทก์คืนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1336 ซึ่งไม่มีกําหนดอายุความ ไม่ใช่การฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดหรือลาภมิควรได้ ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

"ศาลแพ่ง" จึงมีคำพิพากษาให้ "นายศุภชัย" อดีตปธ.สหกรณ์ จําเลยที่ 1ชําระเงินให้แก่โจทก์ จํานวน 9,642,164,453.61บาท พร้อม ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5ต่อปีของเงินต้น 119,020,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องที่ 26 ส.ค.57 และของเงินต้น 9,522,533,049.50บาทนับแต่วันฟ้องที่ 15 ต.ค.57 เป็นต้นไป จนกว่าจะชําระเสร็จ และให้จําเลยที่ 2 ร่วมกับจําเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์จํานวน 119,631,404.11บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ของเงินต้นจํานวน 119,020,000บาทนับถัดจากวันฟ้องด้วย

ส่วนจําเลยที่ 3 ให้ร่วมกับจําเลยที่ 1 รับผิดจํานวน 9,522,533,049.50บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ7.5 ของนับจากวันฟ้องที่ 15 ต.ค.57 และให้จําเลยที่ 8-9 กับจําเลยร่วมอีก 22 คน ร่วมกับจําเลยที่ 1 ชําระเงินโจทก์ตามจํานวน ที่จําเลยแต่ละคนได้รัยพร้อมทั้งดอกเบี้ยนับเเต่วันฟ้อง โดยยกฟ้องจําเลยที่ 17และที่ 29 เนื่องจากข้อเท็จจริงปรากฏว่าเบิกถอนเงินตามเช็คแล้วนําเงินไปมอบ ใหจําเลยที่ 4 - 5 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา ไม่ได้นําไปใช้เป็นส่วนตัว จึงไม่ต้องรับผิดคืนเงินให้โจทก์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีแพ่งที่ "นายศุภชัย" ถูกตัดสินเกี่ยวกับการยักยอกทรัพย์ทุจริตเงินสหกรณ์นั้น ถือเป็นสำนวนที่ 2 แล้ว ซึ่งพิพากษานี้อยู่ในศาลชั้นต้น โดยจำเลยทั้งหมดยังมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ได้อีกใน 30 วัน

โดยคดีแรก หมายเลขดำ ด.1674/2557 ศาลแพ่ง ได้ตัดสินไปเมื่อวันที่ 25 พ.ย.59  ให้ "นายศุภชัย" อดีต ปธ.สหกรณ์ กับจำเลยร่วมอีก 3 คน  ที่เป็นอดีตคณะบริหารสหกรณ์ ร่วมกันชำระเงิน 3,811,605,926.18 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องที่ 1 พ.ค.57 จนกว่าจะชำระเสร็จโดยตัว "นายศุภชัย" อดีต ปธ.สหกรณ์ฯ ปัจจุบันถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ คดีอาญาฉ้อโกงสหกรณ์

ขณะที่นายศุภชัย อดีต ปธ.สหกรณ์ฯ ยังมีคดีแพ่ง ที่อัยการ ยื่นฟ้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน อีก 2 สำนวน ประกอบด้วย 1.คดีหมายเลขดำ ฟ.173/2559 อัยการยื่นเมื่อวันที่ 8 ก.ย.ที่ผ่านมา ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินของนายศุภชัย กับพวก ตกเป็นของแผ่นดิน จากที่มีการกระทำความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน รวมทุนทรัพย์ทั้งสิ้น 85,769,438.25 บาท ซึ่งคดีศาลแพ่ง กำลังไต่สวน พยาน

2.คดีหมายเลขดำ ฟ.208/2559 อัยการยื่นฟ้องวันที่ 18 พ.ย.ที่ผ่านมา ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินของนายศุภชัย กับพวกตกเป็นของแผ่นดิน จากที่มีการกระทำความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน รวมทุนทรัพย์ทั้งสิ้น 1,585,000,000 บาท โดยอยู่ระหว่างการไต่สวนของศาลแพ่ง