posttoday

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำคุก8ปี "อดีตรองผอ.อตก." เรียกรับสินบน

18 มกราคม 2561

ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตฯ พิพากษายืนคุก 8 ปี "พงศ์วิทย์ เหลืองช่วยโชค" อดีต รอง ผอ.อตก. เรียกรับสินบน 1.7 ล้าน ยังลุ้นยื่นฎีกาได้อีกยก

ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตฯ พิพากษายืนคุก 8 ปี "พงศ์วิทย์ เหลืองช่วยโชค" อดีต รอง ผอ.อตก. เรียกรับสินบน 1.7 ล้าน ยังลุ้นยื่นฎีกาได้อีกยก

เมื่อวันที่ 18 ม.ค. ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ซ.สีคาม ถ.นครไชยศรี ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตฯ คดีเรียกรับสินสัญญาอาหารเรือนจำชุมพร หมายเลขดำ อท.143/2560 ที่พนักงานอัยการ และนายวิเชียร สุวรรณสิทธิ์ ผู้รับมอบอำนาจจาก ห้าง หุ้นส่วนจำกัด คนึงพาณิชย์ ผู้เสียหายร่วมกัน ยื่นฟ้อง นายพงศ์วิทย์ เหลืองช่วยโชค อดีตรองผอ.องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) และนายวิชา สัจจวรรณ์ อดีตชิปปิ้งท่าเรือคลองเตย คนสนิทเป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 ม.6,11 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา ม.86 

คำฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่าขณะเกิดเหตุเมื่อปี 2556-2557 นายพงศ์วิทย์ จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งรอง ผอ.อ.ต.ก.ได้รับมอบอำนาจจาก ผอ.อ.ต.ก. ให้มีอำนาจสั่งการ , การอนุญาต , การอนุมัติ , ควบคุมกำกับดูแล และลงนามในเอกสารถึงหน่วยงานและบุคคลภายนอก และทำหน้าที่แทน ผอ.อ.ต.ก.ลงนามสัญญากับหน่วยงานราชการ หรือรัฐวิสาหกิจและผู้ประกอบการกับ อ.ต.ก. และลงนามในใบสำคัญจ่ายเงิน เพื่อเบิกเงินให้แก่ผู้ประกอบการตามโครงการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค 

ส่วน นายวิชา จำเลยที่ 2 เป็นผู้ช่วยเหลือให้ความสะดวกจำเลยที่ 1 ในการกระทำผิด ต่อการเรียกรับเงินสินบนจากห้างหุ้นส่วนจำกัด คนึงพาณิชย์ ผู้เสียหายที่ 1 ในการทำสัญญาแต่งตั้งตัวแทนค้าต่างที่จะเป็นตัวการค้าอาหารดิบ อาหารสด อาหารแห้งกับเรือนจำจังหวัดชุมพร ดำหยดเวลาเดือน พ.ย.56-เดือน ก.ย.57

โดยวันที่ 17 มิ.ย.57 ตำรวจได้จับกุมจำเลยทั้งสอง พร้อมยึดเงินสด 1 ล้านบาท ซึ่งจำเลยทั้งสองได้เรียกรับจากผู้เสียหาย เหตุเกิดที่แขวง-เขตจตุจักร กทม. และ อ.สวี อ.เมือง จ.ชุมพร กับ อ.เมือง จ.นนทบุรี เกี่ยวพันกัน ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้คดี

ซึ่งวันที่ 30 มี.ค.60 ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาว่า นายพงศ์วิทย์ อดีต รอง ผอ.อ.ต.ก. จำเลยที่ 1 มีความผิดตาม ฟ้องให้จำคุก 8 ปี ส่วน นายวิชา จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานให้การสนับสนุนกระทำผิด ตาม ม.86 จึงให้จำคุก 5 ปี 4 เดือน โดยไม่มีการรอลงอาญาให้กับจำเลยทั้งสอง

ต่อมาจำเลย ได้ยื่นอุทธรณ์ แต่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ นายวิชา จำเลยที่ 2 ได้ขอถอนคำอุทธรณ์คดี ดังนั้นจำเลยที่ 2 จึงรับโทษจำคุก 5 ปี 4 เดือนไปตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดของศาลชั้นต้น

คงเหลือพิจารณาเพียงประเด็นอุทธรณ์ของ นายพงศ์วิทย์ อดีต รอง ผอ.อ.ต.ก.จำเลยที่ 1ว่ากระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่

ซึ่งศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ได้ตรวจสำนวนคดีแล้ว เห็นว่า อัยการโจทก์ และเอกชนโจทก์ร่วม มีพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า เมื่อประมาณเดือน ธ.ค.56 โจทก์ร่วม กับ จำเลยที่ 1 สนทนาทางโทรศัพท์มือถือระหว่างกัน แล้วจำเลยที่ 1 เรียกเงินจากโจทก์ร่วมในอัตราร้อยละ 6 ของมูลค่าสัญญาจะซื้อจะขายอาหารดิบทั้งหมด เป็นเงินรวม 1.7 ล้านบาทโดยอ้างว่าจะต้องนำไปให้ผู้ใหญ่ แต่โจทก์ร่วมปฏิเสธว่าไม่มีเงินให้

ต่อมาเมื่อถึงกำหนดจ่ายเงินค่าอาหารดิบ งวดเดือน ก.พ.57 โครงการตลาดเพื่อเกษตรกร ชำระเงินล่าช้า โจทก์ร่วมจึงสอบถามจำเลยที่ 1 ทางโทรศัพท์มือถือ จำเลยก็บอกว่าได้ลงนามสั่งจ่ายเงินค่าอาหา งวดเดือนก.พ.57 ให้แล้ว ก็ให้โจทก์ร่วมนำเงิน 1.7 ล้านบาทมามอบให้จำเลยที่ 1 ด้วย ซึ่งโจทก์ร่วม ยอมตอบรับเนื่องจากต้องการให้จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเงินโดยเร็วซึ่งโจทก์ร่วมได้บันทึกเสียงสนทนาในวันดังกล่าวไว้ด้วย

ส่วนการจ่ายเงินค่าอาหารงวดเดือนมี.ค.57 เมื่อโจทก์ร่วมทราบว่า เรือนจำจังหวัดชุพร ได้โอนเงินค่าอาหารดังกล่าวให้แก่ อ.ต.ก.แล้วแต่ยังไม่สั่งจ่ายเงินให้โจทก์ร่วมจึงได้โทรศัพท์ติดต่อไปยังจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยได้ถามโจทก์ร่วมว่าเหตุใดจึงไม่นำเงินมามอบให้เพื่อจะได้มีเงินให้ผู้ใหญ่ โดยโจทก์ร่วมตอบว่าไม่มีเงิน

ต่อมาปลายเดือน เม.ย.57 โจทก์ร่วมจึงได้เข้าร้องทุกข์ต่อ ป.ป.ช. และ สตช. จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ได้วางแผนจับกุม นายพงศ์วิทย์ อดีต รอง ผอ.อ.ต.ก. จำเลยที่ 1 ได้ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในจ.นนทบุรี พร้อมยึดเงินของกลาง ได้จำนวน 1 ล้านบาท

ศาลอุทธรณ์ฯ เห็นว่า อัยการโจทก์และเอกชน โจทก์ร่วม มีพยานหลักฐานทั้งพยานบุคคล , พยานเอกสาร ภาพถ่าย และวัตถุพยานสอดคล้องกันน่าเชื่อถือ ซึ่งมีน้ำหนักมั่นคง ไม่มีข้อพิรุธสงสัย

ส่วนที่ นายพงศ์วิทย์ อดีต รอง ผอ.อ.ต.ก. จำเลยที่ 1 นำสืบทำนองว่า เงิน 1 ล้านบาทดังกล่าว เป็นเงินที่เอกชนโจทก์ร่วม ชำระคืน  นายวิชา จำเลยที่ 2 เนื่องจากโจทก์ร่วมเคยกู้ยืมเงินจากจำเลยที่ 1 หลายครั้ง แล้วก็ไปเอาเงินมาจากจำเลยที่ 2 รวมเป็นเงินต้น 1 ล้านบาท ศาลอุทธรณ์ฯ เห็นว่า ตามทางนำสืบของจำเลยที่ 1 ได้ความเพียงว่า จำเลยที่ 1 รู้จักโจทก์ร่วมเนื่องจากมาทำสัญญากับ อ.ต.ก. แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 กับโจทก์ร่วมมีความสนิทสนมคุ้นเคยกัน หรือเป็นญาติกันแต่อย่างใด แล้วจำเลยที่ 1 จะให้โจทก์ร่วม ยืมเงินถึง 1 ล้านบาทที่ถือว่าเป็นเงินจำนวนมากโดยไม่มีการทำหลักฐานการกู้ยืมเงินไว้นั้น ไม่น่าเชื่อถือ อีกทั้งจำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้นำสืบแสดงถึงที่มาของเงินล้านบาทว่านำเงินมาจากที่ใดเพื่อจะให้โจทก์ร่วม กู้ยืม โดยจำเลยที่ 1 เพียงแต่อ้างตนเองเป็นพยานเท่านั้นไม่มีพยานหลักฐานอื่นที่น่าเชื่อถือกว่านี้มาแสดงเพื่อสนับสนุนข้องอ้างของตน

ทางนำสืบของจำเลยที่ 1 จึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า นายพงศ์วิทย์ อดีต รอง ผอ.อ.ต.ก.จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานเป็นพนักงานเรียกรับเงินโดยมิชอบ เพื่อกระทำการอย่างใดในหน้าที่ ฯ

ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยลงโทษไว้ ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตฯ เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืนให้จำคุก นายพงศ์วิทย์ อดีต รอง ผอ.อ.ต.ก. เป็นเวลา 8 ปี โดยไม่รอลงอาญา

ทั้งนี้ภายหลังฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฯแล้ว นายพงศ์วิทย์ อดีต รอง ผอ.อ.ต.ก. ซึ่งถูกคุมขังตั้งแต่ศาลชั้นต้น ก็ไม่ได้ยื่นประกันตัววันนี้อีก จึงถูกควบคุมตัวไปขังที่เรือนจำทันที ส่วนคดีสามารถยื่นฎีกาสู้คดีได้อีกตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218