posttoday

ถึงเวลาผ่าตัดระเบียบบริหารกิจการคณะสงฆ์แล้วครับ

11 ธันวาคม 2560

ขณะที่คณะกรรมการประสานงานแผนยุทธศาสตร์ในการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา (คปพ.)

โดย...ส.คนจริง

ขณะที่คณะกรรมการประสานงานแผนยุทธศาสตร์ในการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา (คปพ.) ที่มีพระราชวรเมธี (ประสิทธิ์) เป็นประธาน เดินหน้าเปิดแนวรุกให้มีการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา ตามแนวนโยบายที่มหาเถรสมาคม (มส.) กำหนดทิศทางให้นั้น แต่ที่สาธารณชนรับรู้กลับเป็นเรื่องพระสงฆ์ปฏิบัตินอกรีต ล่าสุดเมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 2560 หนังสือพิมพ์ บางกอกโพสต์ เสนอข่าวในหน้า 1 ว่า ตำรวจเตรียมกวาดล้างพระนอกรีต 95 รูป ซึ่งผู้ที่ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์

พระนอกรีตที่อยู่ในบัญชีของตำรวจสอบสวนกลาง แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.พระตุ๊ด พระแต๋ว มี 25 ราย 2.อวดอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ หรือใบ้หวยมี 24 ราย 3.มั่วสีกา ลวนลามหญิง เสพเมถุน มี 35 ราย 4.พระที่ยุ่งการเมือง โดยใช้สื่อออนไลน์ปลุกระดม ก่อให้เกิดความรุนแรงทางการเมือง มี 11 ราย ในจำนวน 95 ราย ตามบัญชีนั้น ถูกจับสึกและดำเนินคดีแล้ว 10 ราย ด้วยกัน

ต่อมาบทนำของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ วันที่ 6 ธ.ค. 2560 ได้ตอกย้ำเรื่องดังกล่าวโดยตั้งหัวเรื่องว่า ตำรวจจะปัดกวาดวัด เริ่มเรื่องว่าวงการคณะสงฆ์จะเป็นข่าวอื้อฉาวกันอีก พล.ต.ท.ฐิติราช เปิดเผยว่า จะส่งตำรวจกองปราบปรามออกไปทำการจับกุมพระภิกษุที่ถูกกล่าวหาประพฤติพระธรรมวินัย หรือทำผิดกฎหมายบ้านเมือง ขณะนี้มีพระอยู่ในบัญชี 95 รูป แต่เป็นเพียงกลุ่มแรก อาจมีเพิ่มเติมอีก และจะใช้เวลากวาดล้าง 2 สัปดาห์

บทนำในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ยังมีความเห็นว่า เรื่องอื้อฉาวในวงการคณะสงฆ์เกี่ยวกับการประพฤติผิดพระธรรมวินัยมีมาช้านาน มีการแข่งขันกันสร้างเครื่องรางของขลัง กลายเป็นธุรกิจใหญ่โต เรียกว่า พุทธพาณิชย์ ทำให้พระพุทธศาสนาถูกมองว่าเป็นศาสนาแห่งไสยศาสตร์และมีเสียงเรียกร้องให้ปฏิรูปทั้งด้านการเงินของวัด และเข้มงวดเรื่องพระธรรมวินัย แต่การตอบสนองต่อเสียงเรียกร้องเป็นไปด้วยความล่าช้า หรือแทบจะไม่มีการตอบสนองเลย โดยเฉพาะเรื่องการเข้มงวดกวดขันพระภิกษุสามเณรให้ปฏิบัติตนให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เป็นคุณสมบัติของพระ ที่เรียกว่า สุปฏิปันโน รัฐบาลผู้รักษากฎหมายและความสงบเรียบร้อยอาจต้องเข้ามาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่

ผมขอย้อนอดีตเล็กน้อยว่า ก่อนที่จะเป็นข่าวหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ และบทนำหนังสือพิมพ์ไทยรัฐนั้น เจ้าคณะหนใหญ่ต่างๆ กระตือรือร้นต่อเสียงเรียกร้องจากชาวบ้านมิใช่น้อยทีเดียว คงจำกันได้ว่า มีคำสั่งด้านการปกครองคณะสงฆ์ ลงนามโดยเจ้าคณะใหญ่หนต่างๆ ช่วงปลายเดือน ก.ย. 2560 หรือก่อนออกพรรษา คือ คำสั่งเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก (สมเด็จพระพุฒาจารย์) วัดไตรมิตร เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต (สมเด็จพระวันรัต) วัดบวรนิเวศวิหาร เจ้าคณะใหญ่หนกลาง (สมเด็จพระพุทธชินวงศ์) วัดพิชยญาติการาม เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ (พระ วิสุทธิวงศาจารย์) วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และเจ้าคณะใหญ่หนใต้ (พระพรหมจริยาจารย์) วัดกะพังสุรินทร์ จ.ตรัง ทำให้วัดต่างๆ ที่มีชื่อเสียงเรื่องปลุกเสกผ้ายันต์ เครื่องรางของขลังทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคปิดกิจการ ได้เก็บกวาดป้ายโฆษณาต่างๆ ที่อวดอ้างความขลังที่ติดในกำแพงและนอกกำแพงวัดออกกันหมด

กาลเวลาผ่านไปไม่นาน ความเลอะเลือนกลับมาเหมือนเดิม จึงดูเหมือนว่าคำสั่ง เบื้องบนดังแล้วก็ดับ สมดังภาษิตไทยโบราณว่า ดังเหมือนพลุ หรือไฟไหม้ฟาง อันนี้แสดงว่า การปกครองคณะสงฆ์หลวมมาก มันหลวมอย่างไร

หนังสือการปกครองคณะสงฆ์ไทย ลำดับโครงสร้าง พ.ร.บ.สงฆ์ (พ.ศ. 2505) ดังนี้ 1.ปกครองแบบรวมศูนย์ กล่าวคืออำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ รวมอยู่ที่มหาเถรสมาคมทั้งหมด 2.เป็นการปกครองที่ทำหน้าที่ซ้ำซ้อนกันหลายตำแหน่ง อันเป็นเหตุให้การปฏิบัติหน้าที่เป็นไปอย่างล่าช้า และหย่อนประสิทธิภาพ 3.เป็นการปกครองที่ไม่มีการแบ่งหน้าที่อย่างชัดเจน ระหว่างฝ่ายนโยบายและฝ่ายปฏิบัติการ 4.เป็นการปกครองที่ไม่สอดคล้องกับพระธรรมวินัยที่มอบให้สงฆ์เป็นใหญ่ในการทั้งปวง และ 5.เป็นการปกครองที่ไม่สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย ที่ให้กระจายอำนาจ

เมื่อเห็นทุกข์และสมุทัย แล้วก็มีมรรควิธี เพื่อไปสู่เป้าหมาย 1.ปรับแก้ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ใหม่ เปิดโอกาสให้คณะสงฆ์ปกครองคณะสงฆ์อย่างเป็นธรรมในแต่ละหมู่แต่ละคณะ เช่น ให้มีเถรสมาคมมหานิกาย (ยังไม่มี) และเถรสมาคมธรรมยุต (มีอยู่แล้ว) 2.ออกแบบบริหารการปกครองใหม่ เช่น ให้มีที่ตั้งสำนักงานกลาง ตั้งแต่ระดับตำบล อำเภอ จังหวัด ภาค และเจ้าคณะใหญ่หนต่างๆ ให้ทั้งหมดตั้งอยู่ในพื้นที่ปกครองนั้นๆ 3.ยกระดับพระสังฆาธิการ ให้มีหน้าที่ อำนาจ เสมือนข้าราชการประจำ กล่าวคือเป็นพระสังฆา ธิการตำบลใด อำเภอใด และจังหวัดใด ต้องมาทำงานในสำนักงานกลางในพื้นที่ปกครองนั้นๆ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามสายงาน เช่น ปกครอง เผยแผ่ สาธารณูปการ สังคมสงเคราะห์ และศาสนาศึกษาสงเคราะห์

ส่วนสถานที่นั้นให้ใช้ส่วนหนึ่งของอาคารของ อบต.และ อบจ.เป็นสำนักงานกลางในภูมิภาค และใช้พื้นที่พุทธมณฑลเป็นสำนักงานใน ส่วนกลาง ทำได้ดังนี้ เรียกว่าปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา ดังเป้าหมายว่า พุทธศาสนามั่นคง ดำรงศีลธรรม นำสังคมสันติสุขอย่างยั่งยืน