ส.นักข่าว ตั้งกรรมการหาข้อเท็จจริง กรณีผู้บริหารสื่อคุกคามทางเพศ
สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯ ตั้ง 6 คณะกรรมการ แสวงหาข้อเท็จจริงกรณีผู้บริหารสื่อคุกคามทางเพศ
สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯ ตั้ง 6 คณะกรรมการ แสวงหาข้อเท็จจริงกรณีผู้บริหารสื่อคุกคามทางเพศ
เมื่อวันที่ 20 ก.ย. สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยออกเเถลงการณ์ กรณีกระเเสข่าวเรื่องผู้บริหารองค์กรสื่อมีพฤติกรรมเข้าข่ายคุกคามทางเพศ โดยระบุเนื้อหาว่า
สืบเนื่องจากกรณีที่มีกระแสข่าวตามสังคมสื่อออนไลน์พาดพิงถึงผู้บริหารองค์กรสื่อมีพฤติกรรมเข้าข่ายคุกคามทางเพศ รวมทั้งความเคลื่อนไหวเข้าชื่อเรียกร้องให้องค์กรสื่อมีกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริง จากกลุ่มนักข่าวภาคสนามที่ปรากฏเป็นจดหมายเปิดผนึกเผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ อันเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน ต้องมีความตระหนักด้วยมิติแห่งเพศ และกระแสสังคม และยังเกี่ยวพันถึงความน่าเชื่อถือในแวดวงสื่อสารมวลชนโดยรวม ตามที่มีหนังสือข่าวอ้างถึงผลการหารือนอกรอบ เมื่อ 10 กันยายน 2560 ที่ผ่านมานั้น
ตลอดระยะเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา สมาคมนักข่าว ฯ ได้พยายามทาบทามผู้ทรงคุณวุฒิ และเป็นที่น่าเชื่อถือตามกรอบที่ได้หารือกันไว้ ท่ามกลางกระแสข่าวที่ยังคงเผยแพร่ต่อเนื่องอย่างสับสนเป็นระยะ ๆ ซึ่งทำให้การทาบทามเป็นไปด้วยความยากลำบาก จนในที่สุดผู้ได้รับการทาบทามได้ตอบรับมาในจำนวนที่เพียงพอที่จะเริ่มต้นทำงานเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงจากกระแสข่าวต่าง ๆ ได้แล้ว
คณะกรรมการบริหารสมาคมนักข่าว ฯ จึงอาศัยอำนาจหน้าที่ตามข้อบังคับสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2543 (แก้ไขเพิ่มเติม 5 มิถุนายน พ.ศ. 2557) หมวด 2 วัตถุประสงค์ ข้อ 5 หมวด 4 หน้าที่และสิทธิของสมาชิก ข้อ 7 และ หมวด 6 การบริหารสมาคม ข้อ 16 ก. และ ค. ประกอบกับแนวทางตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน พุทธศักราช 2558 ว่าด้วยมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศในการทำงาน อีกทั้งสอดรับกับกระบวนการเรียกร้องให้มีการตรวจสอบกันเองของสื่อมวลชนโดยการให้ผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกเข้ามามีส่วนร่วม ด้วยกระบวนการที่โปร่งใส จึงมีมติเอกฉันท์เห็นชอบให้ตั้งคณะอนุกรรมการแสวงหาข้อเท็จจริงกรณีกระแสข่าวพาดพิงถึงผู้บริหารองค์กรสื่อ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงให้เกิดความกระจ่างในความเป็นมาเป็นไปของกระแสข่าว รวมทั้งเกิดความชัดเจนในข้อเท็จจริงของประเด็นที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคล องค์กร ตลอดจนแวดวงสื่อสารมวลชนโดยรวม
โดยคณะอนุกรรมการแสวงหาข้อเท็จจริง ฯ ชุดนี้ประกอบด้วย
1. รศ. ดร.จุรี วิจิตรวาทการ เลขาธิการมูลนิธิองค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย
2. รศ. ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก นักวิชาการทางกฎหมาย
3. ผศ.ดร.เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ อดีตผู้อำนวยการโครงการศึกษาและเฝ้าระวังสื่อเพื่อสุขภาวะของสังคม
4. น.ส. สุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง คณะอนุกรรมการด้านสิทธิและความเสมอภาคทางเพศ ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
5. นายนคร ศรีสุโข นักจิตวิทยาคลินิกชำนาญการพิเศษ สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา
6. นายทัศนัย ไชยแขวง อุปนายกฝ่ายประชาสัมพันธ์ และอุปนายกฝ่ายต่างประเทศ สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์
ทั้งนี้คณะกรรมการบริหารสมาคมนักข่าว ฯ ยังได้มอบหมายให้นายมงคล บางประภา อุปนายกฯ ฝ่ายบริหาร และเลขาธิการ เป็นเลขานุการ และ น.ส. สุมนชยา จึงเจริญศิลป์ กรรมการฝ่ายต่างประเทศ เป็นผู้ช่วยเลขานุการ เพื่อทำหน้าที่ประสานงานด้านธุรการ การจัดทำรายงาน โดยไม่มีอำนาจร่วมตัดสินใจ หรือแสดงความคิดเห็นในกระบวนการทำงานของคณะอนุกรรมการแสวงหาข้อเท็จจริง ฯ ชุดนี้
สำหรับกรอบการทำงานเบื้องต้น ให้มีกรอบระยะเวลาการทำงานภายใน 90 วัน โดยมีการเปิดรับข้อมูล หลักฐานจากบุคคลภายนอกเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 30 วัน และแสวงหาข้อเท็จจริงภายใต้ขอบเขตความรับผิดชอบและอำนาจหน้าที่ของสมาคมนักข่าวฯ รวมทั้งอาจเสนอรายงานข้อเสนอแนะต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อสมาคมนักข่าวฯ โดยต้องรักษาความลับของบุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะผู้ที่อาจได้รับผลกระทบและความเสียหายอย่างไม่เป็นธรรม และจะไม่มีการแถลง ให้ข่าว หรือให้สัมภาษณ์ จนกว่าการแสวงหาข้อเท็จจริงจะยุติ โดยต้องได้รับความเห็นชอบจากสมาคมนักข่าวฯ เป็นกรณี ๆ ไป
ขอความร่วมมือให้ผู้ที่มีข้อมูลที่เป็นจริง ในเหตุการณ์ที่สงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับกระแสข่าวดังกล่าว ไม่ว่าพยานบุคคลหรือหลักฐานในรูปแบบใด ๆ ส่งข้อมูลประกอบการแสวงหาข้อเท็จจริงของคณะอนุกรรมการฯ ภายในเวลา 30 วันนับแต่คณะอนุกรรมการแสวงหาข้อเท็จจริง ฯ เริ่มประชุมครั้งแรก
ทั้งนี้สมาคมนักข่าว ฯ ขอให้ทุกฝ่ายรอผล จากคณะอนุกรรมการแสวงหาข้อเท็จจริง ฯ และติดตามข้อแถลงของสมาคมนักข่าวฯ ในโอกาสต่อไป