posttoday

ทายาทโอเอปัดวิ่งเต้นคดีทัวร์ศูนย์เหรียญจนศาลยกฟ้อง

12 กันยายน 2560

ทายาทธุรกิจในเครือโอเอ ทรานสปอร์ต ย้ำไม่เกี่ยวข้องกับทัวร์ศูนย์เหรียญ ปัดวิ่งเต้นคดีจนศาลยกฟ้อง ขอมีที่ยืนบนธุรกิจวอนสังคมเข้าใจ

ทายาทธุรกิจในเครือโอเอ ทรานสปอร์ต ย้ำไม่เกี่ยวข้องกับทัวร์ศูนย์เหรียญ ปัดวิ่งเต้นคดีจนศาลยกฟ้อง ขอมีที่ยืนบนธุรกิจวอนสังคมเข้าใจ

เมื่อวันที่ 12 ก.ย. น.ส.สายทิพย์ และ นายวสุรัตน์ โรจน์รุ่งรังสี สมาชิกครอบครัวโรจน์รุ่งรังสี และทายาทธุรกิจในเครือโอเอ ทรานสปอร์ต ซึ่งตกเป็นจำเลยในคดีทัวร์ศูนย์เหรียญ ออกมาแถลงข่าวหลังจากศาลมีคำสั่งยกฟ้องคดี ว่า บริษัทฯไม่มีส่วนกระทำความผิดเกี่ยวกับทัวร์ศูนย์เหรียญ เพราะบริษัทโอเอไม่ใช่บริษัททัวร์ แต่เป็นผู้ให้บริการเช่ารถทัวร์กว่า 2,000 คันเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติจากหลายชาติ ไม่ใช่ชาวจีนเพียงอย่างเดียว และทำธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2536

ส่วนธุรกิจที่เหลือเป็นเพียงบริษัทที่ให้บริการรองรับการท่องเที่ยวทั้งร้านขายเครื่องประดับอัญมณี เครื่องหนัง ขนมไทย สมุนไพร และสินค้าเกษตรแปรรูป แต่บริษัทโอเอฯกลับถูกตั้งข้อกล่าวหาเนื่องจากบริษัททัวร์ที่สวมบัตรประชาชาชนปลอม 2 บริษัท ต่างเป็นลูกค้าที่มาเช่ารถทัวร์ของบริษัทโอเอฯ ทำให้ทางบริษัทถูกแจ้งข้อหาร่วมกันกระทำความผิดมูลฐานอั้งยี่และฟอกเงินด้วย ทั้งที่ความจริงแล้วบริษัทดังกล่าวเป็นเพียง 2 ใน 300 กว่าบริษัทที่มาเช่ารถทัวร์ ซึ่งยังไม่ถึงร้อยละ 1 ของจำนวนลูกค้าทั้งหมด

น.ส.สายทิพย์ กล่าวว่า ไม่เคยบังคับให้บริษัททัวร์ต้องส่งนักท่องเที่ยวมาซื้อสินค้าจากร้านในเครือเท่านั้น แต่ทางบริษัททัวร์เห็นว่าถ้าไปที่ร้านจะได้ส่วนลด ไกด์ได้ค่าคอมมิชชั่น ทางบริษัททัวร์จึงจัดโปรแกรมมาที่ร้านในเครือ ซึ่งลูกทัวร์จะซื้อสินค้าหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของลูกทัวร์เอง ไม่ได้มีการบังคับ

ส่วนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นธุรกิจของคนจีน น.ส.สายทิพย์ ยอมรับว่า บรรพบุรุษเป็นคนจีนที่อพยพเข้ามาอยู่ในไทยจริง และได้แต่งงานกับคนไทย รุ่นพ่อแม่ก็เป็นคนไทย มีสูติบัตรชัดเจน ทำให้ธุรกิจดำเนินกิจการโดยคนไทย 100% และมีการเสียภาษีต่างๆ ตามปกติ ไม่ใช่บริษัทของคนจีนตามที่ถูกกล่าวหา อีกทั้งบริษัทก็กู้เงินจากธนาคารไทยมาลงทุน ไม่ใช่ธนาคารจีนแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตามขณะนี้บริษัทโอเอฯไม่สามารถดำเนินกิจการได้ เนื่องจากถูกอายัดรถทัวร์ไว้ทั้งหมด และยังผ่อนชำระไม่หมด ทำให้ตอนนี้ติดเงินกู้จากธนาคารอยู่จำนวนมาก รวมถึงยังต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยธนาคาร และต้องรับผิดชอบเงินเดือนพนักงานจำนวนมาก สร้างความเสียหายหลักหมื่นล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่ได้หารือกับทนายความเกี่ยวกับเรื่องของการฟ้องกลับหรือเรียกค่าเสียหาย ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมก่อน ยืนยันว่า ไม่มีการวิ่งเต้นคดีตามที่มีกระแสข่าว ทั้งขอความเห็นใจ และขอให้สังคมเข้าใจเรื่องการดำเนินธุรกิจ เพื่อที่จะมีโอกาสกลับมาทำธุรกิจและหาเงินใช้หนี้ธนาคารที่กู้ยืมมาลงทุน