posttoday

"บอย ยูนิตี้"รับข้อหาคดีรถหรู

21 กรกฎาคม 2560

"บอย ยูนิตี้" เข้าพบ "ดีเอสไอ" รับทราบข้อกล่าวหาคดีรถหรู เผย งง ถูกออกหมายเรียก ด้าน "รองอธิบดีดีเอสไอ" ยัน ทำทุกอย่างตามข้อเท็จจริง

"บอย ยูนิตี้" เข้าพบ "ดีเอสไอ" รับทราบข้อกล่าวหาคดีรถหรู เผย งง ถูกออกหมายเรียก ด้าน "รองอธิบดีดีเอสไอ" ยัน ทำทุกอย่างตามข้อเท็จจริง

เมื่อวันที่ 21 ก.ค. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายภาณุศักดิ์ หรือนายอินทระศักดิ์ เตชธีรสิริ หรือ บอย ยูนิตี้ เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อเข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกสำแดงเท็จ โดยนำเอกสารใส่ซองสีน้ำตาลมามอบให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ หลังจากถูกดีเอสไอออกหมายเรียกผู้เกี่ยวข้องในคดีการหลบเลี่ยงภาษีนำเข้ารถยนต์หรู ซึ่งมีบุคคลและนิติบุคคลถูกออกหมายเรียก รวม 16 หมายเรียก โดยนายอินทระศักดิ์ได้ขอเลื่อนการเข้าพบพนักงานสอบสวนคดีพิเศษมาแล้ว 1 ครั้ง

นายอินทระศักดิ์ กล่าวก่อนเข้าพบพนักงานสอบสวน ว่า สาเหตุที่ตนเดินทางมาดีเอสไอในวันนี้ เนื่องจากดีเอสไอได้มีการออกหมายเรียกตนให้มารับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งตนก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจึงถูกออกหมายเรียก เพราะคดีนี้มีการดำเนินคดีกับบริษัท ออสติน ออโต้คาร์ ซึ่งเป็นบริษัทเก่า และขณะนี้ก็ไม่ได้ดำเนินกิจการภายหลังถูกกรมศุลกากรดำเนินคดีฐานสำแดงเท็จตั้งแต่ปี 2556 ซึ่งคดียังอยู่ในชั้นอัยการ จึงไม่เข้าใจว่าทำไมดีเอสไอจึงดำเนินคดีซ้ำซ้อน และยังมายึดอายัดรถในบริษัทเอสที ที ออร์โต้เซอร์วิส จำกัด ซึ่งมีชื่อตนเป็นกรรมการบริษัท

ต่อมาเวลา 12.30 น. นายอินทระศักดิ์ กล่าวภายหลังการเข้าพบพนักงานสอบสวนซึ่งใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง ว่า ตนได้สอบถามความชัดเจนก่อนที่จะรับทราบข้อกล่าวหา เพราะที่ผ่านมาการนำเข้ารถยนต์สำแดงภาษีตามมาตรา 317 ของกรมศุลกากรมาโดยตลอด กระทั่งกรมศุลกากรกับดีเอสไอบอกว่าผิด ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้รถยนต์ทุกคันที่นำเข้าโดยบริษัทของตนและบริษัทอื่นๆก็ผิดทั้งหมด โดยดีเอสไอยืนยันจะใช้ใบอินวอยซ์ที่แท้จริงจากโรงงานผู้ผลิตในการแจ้งข้อกล่าวหาสำแดงเท็จนำเข้าภาษีไม่ถูกต้อง ซึ่งตนก็ได้ชี้แจงว่า การเสียภาษีนำเข้าหากจะไม่ถูกต้องก็เกิดจากความไม่ชัดเจนของกรมศุลกากร

นายอินทระศักดิ์ กล่าวต่อว่า จากนั้น พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาสำแดงเท็จนำเข้ารถยนต์ลัมโบร์กีนี 1 คัน โดยตนได้ขอยื่นส่งเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมในวันที่ 16 ส.ค.นี้ ส่วนรถยนต์คันอื่นๆ ดีเอสไอระบุว่ายังอยู่ระหว่างรอประเทศต้นทางส่งใบอินวอยซ์ที่แท้จริงและประเมินภาษี จากนั้น จึงจะเรียกเข้ามาแจ้งข้อกล่าวหาอีก สำหรับรถยนต์ลัมโบร์กีนีที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหานั้น เป็นรถยนต์ที่นำเข้ามาตั้งแต่ปี 2555 ซึ่งกรมศุลกากรได้ดำเนินคดีสำแดงเท็จไปแล้ว ในวันนี้ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาเกี่ยวกับรถยนต์ที่ถูกโจรกรรมจากประเทศอังกฤษและรถยนต์คันอื่นๆ ทั้งนี้ ดีเอสไอยังระบุว่า หากดีเอสไอได้ใบอินวอยซ์ที่แท้จริงมาก็พร้อมจะแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่ม ก็แสดงว่ารถยนต์ที่วิ่งกันอยู่บนถนนกับรถที่จอดอยู่ในโชว์รูมก็มีสิทธิ์จะโดนทั้งหมด

"พวกผมเป็นผู้นำเข้า การที่ดีเอสไอกำหนดให้แสดงราคาที่แท้จริง ก็ควรจะบอกหรือกำหนดออกไปตั้งแต่ต้น แสดงว่าสิ่งที่ทำมามันผิด และจะแก้ไขสิ่งที่ทำผิดไว้อย่างไร เพราะก็ทำกันแบบนั้นมาโดยตลอด และที่นำเข้าใหม่จะทำอย่างไร ก็ต้องกำหนดออกมาให้ชัด ถ้ารับได้ก็จะทำต่อ หากรับไม่ได้ก็คงต้องปิดกิจการ ขณะนี้ยังไม่ได้ประเมินความเสียหายที่ต้องถูกอายัดรถยนต์ เนื่องจากยังไม่ทราบว่าคดีจะยืดเยื้อยาวนานแค่ไหน" นายอินทระศักดิ์ กล่าว

ด้าน พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า สำหรับการสอบสวนของดีเอสไอไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้ง โดยการดำเนินการทุกเรื่องเป็นไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฎในพยานเอกสาร โดยพบว่าสิ่งที่ผู้ประกอบการทำคือสำแดงราคาต่ำมาโดยตลอด ทั้งในอดีตและปัจจุบัน หลังจากนี้เมื่อดีเอสไอได้รับราคาประเมินล็อตที่ 2 และ 3 จากกรมศุลกากร ก็จะปรากฎชื่อผู้ต้องหารายอื่น ซึ่งจะถูกปฏิบัติเช่นเดีวกันกับนายอินทระศักดิ์ ทั้งนี้ ล่าสุดพ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ ได้ประสานข้อมูลไปยังอธิบดีกรมศุลกากร เพื่อให้เร่งรัดการประเมินภาษีรถยนต์ล็อตที่ 2 จำนวน 300 คัน ซึ่งกรมศุลกากรได้มีการประชุมเพื่อประเมินราคารถยนต์กลุ่มแรก 101 คัน ดังนั้น ทันทีที่ดีเอสไอได้รับราคาประเมินจากกรมศุลกากรก็จะทยอยเรียกผู้นำเข้าที่สำแดงเท็จมารับทราบข้อกล่าวหาต่อไป