posttoday

กรมขนส่งปูดเจ้าหน้าที่รัฐเอี่ยวค้ารถผิดกม.

30 มิถุนายน 2560

กรมขนส่งทางบกปูดเจ้าหน้าที่รัฐนับสิบรายเอี่ยวค้ารถผิดกฎหมาย สั่งเพิกถอนทะเบียนพร้อมยึดรถ ดีเอสไอเผยความเสียหายไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท

กรมขนส่งทางบกปูดเจ้าหน้าที่รัฐนับสิบรายเอี่ยวค้ารถผิดกฎหมาย สั่งเพิกถอนทะเบียนพร้อมยึดรถ ดีเอสไอเผยความเสียหายไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท

นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก(ขบ.) เปิดเผยว่า กรมการขนส่งทางบกได้สั่งเพิกถอนการจดทะเบียนรถจาก ขส.ทบ. จำนวน 605 คัน จากทั้งหมด 1,136 คัน หลังทาง ขส.ทบ.ได้ตรวจสอบแล้วพบว่ามีกระบวนการยื่นเอกสารส่งบัญชีรถแจ้งการประมูลขายทอดตลาดโดยใช้เอกสารปลอม โดยมีกลุ่มบุคคลจัดทำขึ้นมาและไม่มีการประมูลรถเพื่อขายทอดตลาดแต่อย่างใด ซึ่งในจำนวนรถทั้งหมดดังกล่าวได้กระจายการจดทะเบียนไปยังจังหวัดต่างๆ 15 จังหวัด แบ่งเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน จำนวน 289 คัน รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน จำนวน 22 คัน รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล จำนวน 265 คัน รถบรรทุกส่วนบุคคลขนาดใหญ่ จำนวน 19 คัน รถโดยสารประจำทาง จำนวน 2 คัน รถโดยสารไม่ประจำทาง จำนวน 7 คัน รถโดยสารส่วนบุคคล จำนวน 1 คัน โดยเบื้องต้นได้แจ้งไปยังผู้ที่ครอบครองรถทุกคันให้ทราบเกี่ยวกับการเพิกถอนทะเบียนแล้ว ส่วนรถที่เหลืออีก 531 คันนั้น ยังไม่มีการยื่นเอกสารขอจดทะเบียนมายังกรมการขนส่งทางบก ดังนั้นก็มีสืบสวนแหล่งที่มาและกลุ่มมิจฉาชีพที่ร่วมกระบวนการดังกล่าวต่อไป

นายสนิท กล่าวว่า ทั้งนี้ทางกรมการขนส่งทางบกได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเพื่อติดตามขยายผลไปยังเจ้าหน้าที่ของกรมที่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวด้วยหากพบว่ากระทำผิดจะลงโทษหนักคือไล่ออกสถานเดียวไม่ละเว้นแน่นอนรวมถึงเอาผิดทางแพ่งเพื่อจ่ายค่าปรับให้กับผู้เสียหายอีกด้วย นอกจากนี้ยืนยันว่าจะติดตามเพื่อเอาผิดทั้งขบวนการไม่ว่าจะเป็น ผู้ขาย ผู้นำจดทะเบียน ผู้แทนจดทะเบียนตลอดจนผู้ซื้อที่มีเจตนาไม่สุจริต โดยพบว่ารถที่ถูกเพิกถอนทะเบียนทั้งหมดนั้น ส่วนใหญ่จะอยู่ที่จังหวัดตาก รองลงมาเป็นชลบุรี อ่างทอง กรุงเทพฯ และนครปฐม เป็นต้น ซึ่งจะมีการขยายผลไปยังเครือข่ายต่อไป”นายสนิท กล่าว
พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) กล่าวว่า เบื้องต้นประเมินมูลค่าความเสียหายเบื้องต้นไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 1,136 คัน เฉลี่ยอยู่ที่คันละ 5 แสนบาท -1ล้านบาท ทั้งนี้ ยอมรับว่ามีผู้เกี่ยวข้องที่เป็นข้าราชการนับสิบราย และมีข้าราชการทหารที่พัวพันมากกว่าสองคนซึ่งมีบางส่วนชิงลาออกไปก่อนแล้ว นอกจากนี้ยังมีข้าราชการระดับจังหวัด ประชาชน ที่ต้องจับตาด้วย โดยเฉพาะเจ้าของเต๊นรถยนต์และตัวแทนขายรถยนต์ในแต่ละพื้นที่เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่สอบสวนนั้นมีข้อมูลว่ารถผิดกฎหมายดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นนรถที่เข้ามาอย่างผิดกฎหมายและเป็นรถซึ่งมีอายุการใช้งานแล้ว 5-6 ปี ส่วนใหญ่มักมาจากคดีโจรกรรมรวมถึงรถยนต์ที่พัวพันกับธุรกิจผิดกฎหมายอย่างบ่อนการพนัน

อย่างไรก็ตามเรื่องดังกล่าวเป็นการใช้เอกสารปลอม โดยหลักการยังไม่ถือเป็นคดีพิเศษ เพราะเข้าข่ายเป็นคดีอาญาทั่วไป แต่ก็ต้องตรวจสอบก่อนว่าจะมีการเชื่อมโยงอย่างไรบ้าง ซึ่งเบื้องต้นพบว่าเป็นกลุ่มไม่ใหญ่ คือ 1.มีเจ้าหน้าที่ของ ขส.ทบ. 1 คน และ 2.คนนอกและข้าราชการภายนอก ขส.ทบ. แต่หลังจากนี้จะส่งคดีให้คณะกรรมการ (บอร์ด) ดีเอสไอ พิจารณาว่าจะเข้าข่ายรับเป็นคดีพิเศษได้หรือไม่ ต้องดูน้ำหนักของความผิดด้วยเนื่องจากเป็นคดีในรูปแบบปลอมแปลงเอกสารมิใช่การหลบเลี่ยงภาษีอย่างรถหรูที่เคยเป็นข่าวไปก่อนหน้านี้

พล.ต.สมศักดิ์ ทรัพย์อนันต์ เจ้ากรมการขนส่งทหารบก(ขส.ทบ.) กล่าวว่า เมื่อปลายปี 2559 ทาง ขส.ทบ.ได้ตรวจสอบพบพิรุธการยื่นเอกสารการประมูลรถขายทอดตลาดของ ขส.ทบ.ในช่วงปลายปี 2558 เป็นจำนวนมาก โดยเป็นยื่นเอกสารส่งบัญชีรถแจ้งการประมูลขายทอดตลอดที่ลงนามโดยเจ้าหน้าที่ของ ขส.ทบ. ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวเพียงคนเดียวทั้ง 9 ฉบับ คือ พันเอกภพกฤต พันธ์ยศ และจากการตรวจสอบพบว่าเป็นการทำเอกสารปลอมขึ้นมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นทะเบียน หรือหมายเลขรถต่างๆ ทาง ขส.ทบ.จึงได้แจ้งให้กรมการขนส่งทางบกทราบ และได้ดำเนินการทางวินัยกับเจ้าหน้าที่ดังกล่าว โดยปัจจุบันได้เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมปลดออกจากราชการแล้ว รวมถึงเอาผิดคดีทางแพ่งเพื่อให้ชดใช้ค่าเสียหายอีกด้วย

“รถยนต์ที่ใช้งานแล้วของ ขส.ทบ. จะมีทั้งการขายทอดตลาด แลกเปลี่ยน และทำลาย แต่ภายหลังได้มีการแลกเปลี่ยนและขายมากกว่า โดยผู้ที่มีอำนาจลงนามคือเจ้ากรมการขนส่งทหารบก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของกลุ่มมิจฉาชีพ ที่ไม่มีอำนาจลงนามและได้ทำเอกสารปลอมขึ้นมาแล้วดำเนินการเอง และการตรวจสอบพบในครั้งนี้ เพราะมีการดำเนินการหลายครั้ง มีตัวเลขรถที่ขายทอดตลาดจำนวนมาก เนื่องจากปกติจะอยู่ที่ประมาณ 100 คัน และจะดำเนินการปีละ 1 ครั้งเท่านั้น ทาง ขส.ทบ.จึงได้ตรวจสอบจนพบความผิดปกติดังกล่าว”พล.ต.สมศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ หลังจากสั่งเพิกถอนป้ายทะเบียนรถยนต์ดังกล่าวแล้วผู้ครอบครองต้องคืนแผ่นป้ายและเอกสารการขึ้นทะเบียนทั้งหมดและถือว่ารถคันดังกล่าวเป็นรถไม่มีทะเบียน ดังนั้น จึงต้องส่งมอบรถให้กับเจ้าหน้าที่เพื่ออายัดไว้ดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องต่อไป อย่างไรก็ตามขบ.ขอเตือนให้ประชาชนผู้ซื้อขายรถตรวจสอบรายละเอียดอย่างรอบคอบไม่ให้ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ โดยการนำสัญญาซื้อขายรถไปยื่นเรื่องให้กรมการขนส่งทางบกประจำจังหวัดตรวจสอบก่อนตัดสินใจทำธุรกรรมขั้นสุดท้าย ดังนั้นเพื่อเป็นการบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนแก่ประชาชนเจ้าของรถที่ซื้อรถโดยสุจริต กรมการขนส่งทางบกได้ให้สำนักงานขนส่งจังหวัดที่เกี่ยวข้องจัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกและ ให้คำแนะนำในด้านต่างๆ รวมถึงการฟ้องร้องทางคดีกับผู้นำรถมาจำหน่ายโดยมิชอบ ซึ่งเจ้าของรถที่ได้รับผลกระทบสามารถติดต่อขอรับคำแนะนำกับ สำนักงานขนส่งจังหวัดที่รถนั้นอยู่ในความรับผิดชอบหรือติดต่อขอข้อมูลจาก ขส.ทบ. ถ.ติวานนท์ จ.นนทบุรี พร้อมทั้งขอความร่วมมือประชาชน ร่วมพิทักษ์สิทธิด้วยการซื้อรถที่ถูกที่ต้องตามกฎหมายโดยเฉพาะอย่าหลงเชื่อซื้อรถที่มีราคาถูกเกินจริง รวมทั้งการซื้อขายรถที่มีเอกสารการได้มาของตัวรถไม่ชัดเจนการซื้อขายรถโอนลอย โดยไม่ดำเนินการทางทะเบียนหรือนำรถเข้าตรวจสภาพด้วยตนเอง เพราะอาจได้รับเอกสารปลอมและรถที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยอาจเป็นรถที่ไปก่ออาชญากรรมหรือไปพัวพันคดียาเสพติด รวมทั้งเกี่ยวข้องกับคดีผิดกฎหมายทุกประเภท การซื้อขายรถทุกครั้งสามารถนำเอกสารสัญญาการซื้อขายขอตรวจสอบด้านทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกและสำนักงานขนส่งจังหวัดที่รถนั้นอยู่ในความรับผิดชอบก่อนการตัดสินใจซื้อขายทุกครั้ง เพื่อความมั่นใจว่าได้รถที่ถูกต้องตามกฎหมาย