posttoday

กรมคุ้มครองสิทธิฯโต้ข้าหลวงใหญ่ฯสิทธิมนุษยชนยูเอ็นพาดพิงไทย

01 มีนาคม 2560

กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ แถลงการณ์โต้สำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ กรณีพาดพิงไทยไม่ผ่านร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามฯ

กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ แถลงการณ์โต้สำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ กรณีพาดพิงไทยไม่ผ่านร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามฯ

เมื่อวันที่ 1 มี.ค. น.ส.ปิติกาญจน์ สิทธิเดช อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เปิดเผยว่า ตามที่โฆษกสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา (Ms. Ravina Shamdasani) ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2560 แสดงความผิดหวังที่ประเทศไทยตัดสินใจไม่ผ่านร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. .... และเรียกร้องให้รัฐบาลไทยทบทวนท่าทีดังกล่าว กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ขอยืนยันว่าประเทศไทยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน

"การปฏิบัติตามพันธกรณีสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศมาโดยตลอด รวมถึงอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือลงโทษอื่นที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรี ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีตั้งแต่วันที่ 2 ต.ค.2550 และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ ซึ่งประเทศไทยได้ลงนามรับรองไว้ตั้งแต่วันที่ 9 ม.ค.2555" น.ส.ปิติกาญจน์ กล่าว

น.ส.ปิติกาญจน์ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา ได้มีการดำเนินการปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ หลายประการ อาทิเช่น การจัดทำหลักสูตรฝึกอบรมและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ การพัฒนามาตรการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และการพัฒนากลไกเชิงนโยบายในการดูแลการอนุวัติตามอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับ เป็นต้น

"กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ขอยืนยันท่าทีของประเทศไทยในการภาคยานุวัตรเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ และยืนยันการดำเนินการทั้งมาตรการทางกฎหมาย และมาตรการทางบริหารเพื่ออนุวัติตามอนุสัญญาดังกล่าว โดยเร็วที่สุด รวมถึงยืนยันว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานเป็นเรื่องที่ไม่สามารถดำเนินการได้ โดยผู้ที่กระทำผิดกฎหมายจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายกระบวนการยุติธรรม และหลักนิติธรรม ทุกกรณี" อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับที่ผ่านการลงประชามติได้มีการรับรองหลักการสิทธิมนุษยชนสำคัญในส่วนของการไม่เลือกปฏิบัติ การห้ามทรมาน และความเท่าเทียมกันทางกฎหมาย ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวข้างต้นจะเป็นการยกระดับกระบวนการยุติธรรมและการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนให้กับประชาชนในประเทศ และยืนยันการปฏิบัติตามคำมั่นที่รัฐบาลไทยได้ให้ไว้ในเวทีระหว่างประเทศมาโดยตลอด