ดีเอสไอเล็งเข้าค้นธรรมกายรอบ3เร็วๆนี้
อธิบดีดีเอสไอจ่อทำความเห็นแย้งหลังอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง"หลวงพี่แป๊ะ" คดีเลี่ยงภาษีนำเข้าเบนซ์โบราณสมเด็จช่วง ยันหลักฐานพอสั่งฟ้องได้ ส่วนปฎิบัติการเข้าค้นธรรมกายรอบ 3 เร็วๆนี้
อธิบดีดีเอสไอจ่อทำความเห็นแย้งหลังอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง"หลวงพี่แป๊ะ" คดีเลี่ยงภาษีนำเข้าเบนซ์โบราณสมเด็จช่วง ยันหลักฐานพอสั่งฟ้องได้ ส่วนปฎิบัติการเข้าค้นธรรมกายรอบ 3 เร็วๆนี้
วันที่ 13 ม.ค.พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) กล่าวถึงกรณีพนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องพระมหาศาสนมุนี หรือหลวงพี่แป๊ะ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ เลขานุการส่วนตัวของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช กรณีเลี่ยงภาษีนำเข้ารถเบนซ์โบราณทะเบียน ขม 99 กรุง เทพฯว่า ขณะนี้ยังไม่เห็นคำสั่งไม่ฟ้องอย่างเป็นทางการของอัยการ จึงต้องรอเอกสารในคำสั่งไม่ฟ้องว่าพนักงานอัยการใช้ดุลยพินิจหรือมีเหตุผลพร้อมรายละเอียดอย่างไรในการสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา เบื้องต้นยืนยันว่าพนักงานสอบสวนผู้ทำสำนวนเห็นพยานหลักฐานและเชื่อว่าพยานหลักฐานที่รวบรวมไว้มีเหตุผลเพียงพอที่จะสั่งฟ้องได้ ทั้งนี้ หากพิจารณารายละเอียดในคำสั่งไม่ฟ้องแล้ว หากดีเอสไอยังยืนยันในพยานหลักฐานในชั้นสอบสวนก็จะทำความเห็นแย้ง เพื่อให้อัยการสูงสุดพิจารณาใช้ดุลยพินิจชี้ขาดว่าจะมีความเห็นสั่งฟ้องตรงกับความเห็นของดีเอสไอหรือไม่
อธิบดีดีเอสไอ กล่าวอีกว่า สำหรับการขออนุมัติหมายค้นวัดพระธรรมกายรอบที่ 3 เพื่อจับกุมตัวพระธัมมชโย ผู้ต้องหาคดีสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงินและรับของโจร จากการรับเช็คบริจาคของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นนั้น ยืนยันว่าต้องมีการเข้าปฏิบัติการเพื่อให้ได้ตัวผู้ต้องหาตามหมายจับ หากเจ้าหน้าที่ไม่ดำเนินการต้องมีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ แต่ในการเข้าค้นต้องประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบ และต้องสนธิกำลังร่วมตำรวจและทหาร เนื่องจากดีเอสไอไม่มีกำลังเพียงพอ คาดว่าเร็ว ๆ นี้สามารถเข้าปฏิบัติการได้
รายงานข่าวระบุว่าสำหรับคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ 12มค.ที่ผ่านมาอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องพระมหาศาสนมุนี หรือหลวงพี่แป๊ะ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำผู้ต้องหาคนที่ 7 ซึ่งถูกตั้งข้อหามีไว้ในครอบครองโดยไม่รู้ว่าของนั้นไม่ได้เสียภาษีตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิตร โดยอัยการชี้ว่า เพราะไม่มีพยานหลักฐานใดพิสูจน์ว่าพระมหาศาสนมุนี รับรถยนต์ไว้โดยรู้ว่านายวิชาญ เสียภาษีสรรพสามิตรไม่ถูกต้อง ขณะเดียวกันก็ให้ยุติการดำเนินคดีในคดีนี้ด้วย เนื่องคดีขาดอายุความ แต่มีคำสั่งให้ฟ้องเอกชน 3 ราย ผู้นำเข้ารถโบราณ ได้แก่ นายพิชัย วีระสิทธิกุล ผู้ต้องหาคนที่ 1 ห้างหุ้นส่วนจำกัด ซี.ที.ออโต้ พาร์ท โดยนายวสุ จิตติพัฒนกุลชัย และนายเกษมศักดิ์ ภวังคนันท์ ฐานร่วมกันนำของที่ไม่ได้เสียภาษี หรือที่ยังไม่ได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้องเข้ามาในราชอาณาจักร พร้อมสั่งฟ้องผู้ต้องหาอีก 2 คน ฐานแจ้งให้พนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ