posttoday

ดีเอสไอแจงคดี"ทนายสมชาย"ยังทำคดีได้

03 พฤศจิกายน 2559

ดีเอสไอแจงขั้นตอนกม.คดีทนายสมชาย ไม่ได้ยุติคดี ยังทำคดีได้

ดีเอสไอแจงขั้นตอนกม.คดีทนายสมชาย ไม่ได้ยุติคดี ยังทำคดีได้

เมื่อวันที่ 3 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ได้ออกเอกสารชี้แจงการดำเนินคดีนายสมชาย นีละไพจิตร โดยระบุว่าดีเอสไอ ดำเนินการสอบสวนคดีพิเศษที่52/2548 กรณีการหายตัวไปของนายสมชาย นีละไพจิตร เป็นคดีพิเศษตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (2) ประกอบมาตรา 10 (3) โดยมีพนักงานอัยการร่วมสอบสวนตามมาตรา 32 แห่ง พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 ซึ่งต่อมากรมสอบสวนสอบสวนคดีพิเศษได้มีความเห็นทางคดีควรให้งดการสอบสวน ตามความเห็นของคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และต่อมาสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 สำนักงานอัยการสูงสุด พิจารณาสำนวนการสอบสวนแล้วได้มีคำสั่ง “ให้งดการสอบสวน หากต่อมารู้ตัวผู้กระทำผิดให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนต่อไปได้” และตามที่คุณอังคณา นีละไพจิตร ได้ยื่นหนังสือต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษในประเด็นที่เกี่ยวข้อง นั้น

โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษขอชี้แจงรายละเอียด ดังนี้  1. คดีดังกล่าวถือว่าเป็นคดีประเภท “ไม่ปรากฏว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำผิด” ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 140 ซึ่งบัญญัติว่าเมื่อผู้รับผิดชอบการสอบสวนเห็นว่าการสอบสวนเสร็จแล้วให้ส่งสำนวนไปยังพนักงานอัยการ พร้อมทั้งความเห็นที่ควรให้งดการสอบสวน และกรณีคดีเช่นนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษได้มีระเบียบว่าด้วยมาตรการควบคุม ตรวจสอบ เร่งรัดการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2550 ข้อ 5 กำหนดระยะเวลาการสอบสวนคดีที่ไม่ปรากฏว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำผิด ให้คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษทำการสืบสวนสอบสวนมีกำหนด 1 ปี โดยที่ข้อเท็จจริงพบว่าคดีนี้ได้ใช้เวลาสอบสวนมาเป็นเวลานาน จึงเป็นเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องเสนอสำนวนไปให้พนักงานอัยการพิจารณา แต่ทั้งนี้ มิได้หมายความว่า คดีนี้จะยุติการสอบสวนหรือการดำเนินการใด ๆ โดยสิ้นเชิง แต่ยังสามารถทำการสืบสวน และหากต่อไปภายหน้ารู้ตัวผู้กระทำผิดจะสอบสวนต่อไป

2.กรณีร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้ สูญหาย พ.ศ. … นั้น หากภายหลังได้มีการประกาศและบังคับใช้เป็นกฎหมาย กรมสอบสวนคดีพิเศษขอยืนยันว่าจะดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในพ.ร.บ.ดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ในคดีพิเศษที่มีลักษณะเดียวกันหรือเกี่ยวข้องกับกรณีบุคคลสูญหายทุกเรื่องที่กรมสอบสวนคดีพิเศษรับไว้ดำเนินการนั้น กรมสอบสวนคดีพิเศษจะดำเนินการสืบสวนสอบสวนตามกฎหมายต่อไป