posttoday

ศาลตัดสินคดีจนท.เผาเพิงพักกะเหรี่ยงไม่ขัดกม. แต่ให้ชดใช้รายละ1หมื่น

07 กันยายน 2559

ศาลปกครองตัดสินคดีเจ้าหน้าที่อุทยานรื้อ-เผาเพิงพักกะเหรี่ยงไม่ขัดกฎหมาย เหตุเป็นที่ดินจากการบุกนุกแผ้วถางป่า พร้อมสั่งให้กรมอุทยานฯชดใช้ค่าสินไหมรายละ1หมื่น

ศาลปกครองตัดสินคดีเจ้าหน้าที่อุทยานรื้อ-เผาเพิงพักกะเหรี่ยงไม่ขัดกฎหมาย เหตุเป็นที่ดินจากการบุกนุกแผ้วถางป่า พร้อมสั่งให้กรมอุทยานฯชดใช้ค่าสินไหมรายละ1หมื่น

เมื่อวันที่ 7 ก.ย. ศาลปกครองกลางได้อ่านคำพิพากษาคดีที่ นายคออี้ มีมิ อายุ 104 ปี ชาวกะเหรี่ยง (ปกาเกอะญอ)ในหมู่บ้านบางกรอยบน ต.ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี พร้อมพวกรวม 6 ราย ยื่นฟ้องกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรณีกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ในการขับไล่ชาวบ้านบางกรอยออกจากป่าแก่งกระจาน ด้วยการเผาทำลายเพิงพักและทรัพย์สิน

ทั้งนี้ศาลพิพากษาว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่ถือเป็นใช้อำนาจโดยชอบ ตามมาตรา 22 ของ พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 และไม่อาจถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดี ที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จะต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี เนื่องจาก ศาลเห็นว่าที่ดินแปลงที่เกิดเหตุไม่ใช่พื้นที่ที่เป็นชุมชนดั้งเดิมของชาวกะเหรี่ยง แต่เป็นที่ดินที่มีการบุกรุกแผ้วถางป่า ในลักษณะการเปิดป่าดงดิบเพื่อให้เป็นที่โล่งสำหรับใช้เพาะปลูกเป็นแปลงใหม่ ซึ่งไม่ใช่แปลงที่ดินทำกินในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานที่ทางราชการจัดสรรให้ทำกิน

ดังนั้นการที่ผู้บุกรุกแผ้วถางป่าได้ทำการก่อสร้างเพิงพัก หรือที่อยู่อาศัย หรือยุ้งฉางข้าวบนที่ดินดังกล่าว จึงเป็นการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติ นอกจากนั้นยังมีการล่าสัตว์ซึ่งเป็นการทำผิดตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจพบการกระทำผิดในเขตอุทยานแห่งชาติ จึงทำการเจรจาและกำหนดเวลาให้ทำการรื้อถอนเพิงพักหรือสิ่งปลูกสร้าง และเก็บทรัพย์สินออกจากที่ดินดังกล่าว แต่หลังพ้นกำหนดเวลาเมื่อเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเข้าไปสำรวจพื้นที่พบว่ายังคงมีเพิงพักหรือสิ่งปลูกสร้างที่เจ้าของไม่ได้ทำการรื้อถอนออกไป คณะเจ้าหน้าที่ย่อมมีอำนาจที่จะรื้อถอนหรือเผาทำลายได้ และการเผาสิ่งปลูกสร้างก็เพื่อไม่ให้ผู้บุกรุกนำไปใช้ก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างขึ้นใหม่ได้อีก

อย่างไรก็ตามสิ่งของเครื่องใช้ในครัวเรือนและสิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัวที่อยู่ในเพิงพักและถูกเผาไปนั้น เนื่องจากเป็นสิ่งของจำเป็น และไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมายหรือสิ่งต้องห้ามตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 แต่การที่เจ้าหน้าที่ทำการเผาเพิงพัก โดยไม่เก็บรวบรวมทรัพย์สินดังกล่าวออกมารักษาไว้เพื่อประกาศให้เจ้าของมารับคืนในภายหลังนั้น จึงถือได้ว่าเป็นการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ซึ่งกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จะต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 โดยศาลได้กำหนดค่าสินไหมในส่วนของเครื่องใช้ในครัวเรือน 5,000 บาท และค่าสินไหมในส่วนของเครื่องใช้ส่วนตัว 5,000 บาท ศาลจึงมีคำพิพากษาให้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 เป็นเงินคนละ 10,000 บาท ภายใน 30 วันที่คดีถึงที่สุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษาแล้ว  นายคออี้ และตัวแทนชาวกะเหรี่ยง ยังคงยืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นชุมชนดั้งเดิมของชาวกะเหรี่ยงและเป็นที่ดินบรรพบุรุษ  ไม่ใช่ที่ดินที่มีการบุกรุกใหม่ แต่เจ้าหน้าที่เข้าใจผิดว่าการทำไร่หมุนเวียนตามภูมิปัญญาของชาวกะเหรี่ยงเป็นการบุกรุกพื้นที่ป่า  ส่วนจะมีการยื่นอุทธรณ์หรือไม่นั้นชาวกะเหรี่ยงและทนายความจะมีการหารือกันอีกครั้งหนึ่ง

นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการส่วนต้นน้ำ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 1 ปราจีนบุรี และอดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กล่าวว่า ยอมรับในคำตัดสิน คำตัดสินของศาลครั้งนี้ ทำให้ข้าราชการชั้นผู้น้อยมีกำลังใจในการทำงานมากยิ่งขึ้น ยืนยันว่าที่ผ่านมาทำงานตามหน้าที่ไม่เคยคิดกลั่นแกล้งใคร การตัดสินของศาลปกครองครั้งนี้ ถือเป็นการต่อสู้ในด้านกฎหมายของข้าราชการว่าการทำงานเมื่อทำสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ละเมิดหรือไม่ละเว้นฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด สามารถทำได้ และเชื่อว่า การตัดสินครั้งนี้ ข้าราชการที่ทำงาน คงจะลุกขึ้นมาปกป้องทรัพยากรป่าไม้สัตว์ป่า มากขึ้น  เชื่อว่าคำตัดสินของศาลปกครองกลาง จะใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ ในการทำงานต่อไป