posttoday

จับแก๊งชาวจีนปลอมบัตรเครดิตรูดซื้อสินค้าสูญกว่า 180 ล้าน

03 มกราคม 2559

ตำรวจกองปราบปราม จับแก๊งชาวจีน ปลอมบัตรเครดิต พาสปอร์ต รูดซื้อสินค้ามูลค่าเสียหายกว่า 180 ล้านบาท

ตำรวจกองปราบปราม จับแก๊งชาวจีน ปลอมบัตรเครดิต พาสปอร์ต รูดซื้อสินค้ามูลค่าเสียหายกว่า 180 ล้านบาท

วันที่ 3 ม.ค. ตำรวจกองปราบปรามทลายแก๊งคนร้ายชาวจีนปลอมบัตรเครดิตและหนังสือเดินทางแบบครบวงจรโดยมีมูลค่าความเสียหายที่สำรวจพบในเบื้องต้นเกือบ 3 ล้านบาท โดยผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมประกอบด้วย  นายจือ เจี้ยน (Mr. Zu Jian) อายุ 42 ปี , นายชุย เยิน เฉิน (Mr.Cui Yuanchang) อายุ 31 ปี ,นายแทน กัว ผิง (Mr.Tan Guo Ping) อายุ 40 ปี ,น.ส.จู กัว ผิง (Mr.Zhu Guo Ping) อายุ 53 ปี และนายหลิว ซื่อ จิ่ง (Mr.Liu Shijin) อายุ 42 ปี
 
โดยยึดของกลางประกอบด้วย บัตรอิเล็กทรอนิกส์ รวม 182 ใบ,เครื่องรับบัตรเครดิต ,เครื่องอ่านบัตรอิเล็กทรอนิกส์ 6 เครื่อง,เครื่องตอกเลขและตัวอักษรที่บัตร , เครื่องเคลือบพร้อมกระดาษฟรอยด์สำหรับเคลือบบัตร ,เครื่องพิมพ์หน้าบัตร ,คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คส์พร้อมโรแกรมสำหรับเขียนบัตร 3 เครื่อง ,หนังสือเดินทาง 11เล่ม รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 180 ล้านบาท โดยจับกุมได้เมื่อวันที่ 1มกราคมที่ผ่านมา
 
พ.ต.อ.พันธนะ นุชนารถ รองผู้บังคับการกองปราบปราม (รองผบก.ป.) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 1มกราคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามรับแจ้งจากพนักงานธนาคารไทยพาณิชย์ว่ามีบุคคล 2คน นำบัตรเครดิตผู้อื่นมาซื้อสินค้าที่ร้านทอง SRT ภายในห้างบิ๊กซี สาขาราชดำริ โดยใชับัตร 2 ใบ แต่เมื่อตรวจสอบพบว่าใบหนึ่งถูกอายัดไว้และอีกใบหนึ่งเป็นของปลอม จึงประสานเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ เมื่อไปถึงหนึ่งในสองผู้ต้องสงสัยได้หลบหนีไป แต่นายจื้อ เจี้ยน ถูกควบคุมตัวไว้ ตรวจค้นพบพาสปอร์ตที่มีรูปหน้าตนเองแต่ระบุชื่อบุคคลอื่น จึงควบคุมตัวพาไปขยายผลที่พักห้องเลขที่ 418 ของโรงแรมเดอะทิโวลี่ สาทรซอย 1 พบบัตรเครดิตปลอมจำนวนหนึ่ง
 
ขณะเดียวกันที่โรงแรมดังกล่าวพบ นายชุ่ย เยิน เฉิน กำลังจะขับรถมิซูบิชิ ปาเจโร่ ป้ายทะเบียนประเทศจีนกำลังจะหลบหนีจึงเข้าควบคุมตัว เมื่อตรวจค้นภายในรถพบบัตรเครดิตและอุปกรณ์ทำบัตรเครดิตปลอมจำนวนมาก จากนั้นได้ขยายผลตรวจค้นห้องเลขที่ 420 พบเครื่องอ่านบัตร และหนังสือเดินทางปลอมอีกจำนวนมาก หนึ่งในพาสปอร์ตนั้นมีหน้าของนายชุ่ย เยิน เฉิน แต่ใช้ชื่อของบุคคลอื่นด้วย

พ.ต.อ.พันธนะ กล่าวต่อว่า ต่อมาสืบทราบว่ารถมิตซูบิชิ ปาเจโร่ ดังกล่าวเป็นของนายแทน กัว ผิง เช่ามาจากประเทศจีนซึ่งพักอยู่ที่โรงแรมมาเลเซีย ย่านสาทรซอย 1 จึงเดินทางไปตรวจสอบพบพักอยู่ในห้อง 317 เข้าตรวจค้นพบบัครเครดิตปลอมอีกจำนวนหนึ่ง จากนั้นขยายผลพบ นายจู กัว ผิง ซึ่งพนักงานโรงแรมชี้ตัวยืนยันว่าเดินทางเข้าพักพร้อมกับนายแทน กัว ผิง  เมื่อตรวจค้นพบบัตรเครดิตจำนวนหนึ่งเช่นเดียวกัน ต่อมาเมื่อวันที่ 2 มกราคม เวลา 14.00 น. ได้ขยายผลพบนายหลิว ซื่อ จิ่ง ที่บริเวณโรงแรมเดอะทิโวลี่ จึงควบคุมตัวมาสอบปากคำที่กองปราบฯ อย่างไรก็ตามจากการขยายผลพบว่ามีผู้ร่วมขบวนการอีก 3 คน อยู่ระหว่างติดตามจับกุมต่อไป นอกจากนี้ยังพบบัตรเครดิตไชน่ายูเนียสเปย์ ตรวจสอบเป็นบัตรจริง จึงมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเชื่อมโยงกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อยู่ระหว่างตรวจสอบ อย่างไรก็ตามจากการสืบสวนทราบว่า นายชุ่ย เยิน เฉิน และนายหลิว ซื่อ จิ่ว เป็นหัวหน้าขบวนการดังกล่าว

ตำรวจสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ได้นำบัตรเครดิตปลอมและหนังสือเดินทางปลอมตระเวนซื้อสินค้า เช่น ทองรูปพรรณในประเทศไทยก่อนนำไปจำหน่ายแลกเปลี่ยนเป็นเงินสด แล้วนำเงินฝากเข้าบัญชีธนาคารกสิกรไทย ชื่อ นายหยง หวง (Mr.Yong Huang) และธนาคารในต่างประเทศ อยู่ระหว่างติดตามขยายผล โดยเดินทางเข้าและออกประเทศไทยมานานกว่า 8 เดือน ซึ่งแต่ละครั้ง จะมาอาศัยอยู่ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ทั้งนี้พวกตนจะได้เงินส่วนต่างจากการรูดซื้อสินค้าก่อนนำมาแบ่งกัน

นายพงษ์สิทธิ์ ชัยฉัตรพรสุข รองผู้จัดการใหญ่ สายบริหารการป้องกันอาชญากรรมทางการเงินและความปลอดภัย ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า  กลุ่มผู้ต้องหามักนำข้อมูลบัตรเครดิตจากระบบอินเตอร์เน็ต และจากร้านซึ่งเป็นข้อมูลจริง มาผลิตผ่านเครื่องก่อนจะตอกหมายเลขบัตรบัตรเสมือนจริง จากนั้นจึงนำไปซื้อของที่มีมูลค่าสูงจากบริษัทห้างร้านต่างๆ จึงฝากเตือนประชาชนที่ใช้บัตรเครดิตให้ระมัดระวังในการนำไปใช้จ่ายทุกครั้ง พยายามจับตามองพนักงานทุกครั้งที่นำบัตรเครดิตไปรูดที่เคาน์เตอร์ เพื่อป้องกันความเสียหาย

เบื้องต้นแจ้งข้อหา นายจือ เจี้ยน , นายชุย เยิน เฉิน ,นายแทน กัว ผิง ,น.ส.จู กัว ผิง และนายหลิว ซื่อ จิ่ง ว่า ร่วมกันนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งเครื่องมือหรือวัตถุสำหรับปลอมหรือแปลงบัตรอิเล็กทรอนิกส์" นอกจากนี้ น.ส.จู กัว ผิง เพิ่มข้อหา "มีไว้ เพื่อนำออกใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบและทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสียหรือทำให้สูญหาย ซึ่งเอกสารที่เจ้าพนักงานได้ยึดไว้เพื่อส่งเป็นพยานหลักฐาน” เนื่องจากขณะควบคุมตัวผู้ต้องหาคนดังกล่าวได้ลักลอบนำพาสปอร์ตปลอมที่มีใบหน้าของตนฉีกทำลายทิ้ง ก่อนนำตัวทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี ดำเนินคดีต่อไป