20ปีคนไทยล้นประเทศ74.4ล้านคน
"มาร์ค"ส่งสัญญาณไทยเตรียมสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบชี้ 20 ปีข้างหน้ามีประชากรล้นประเทศ 74.4 ล้านคน
"มาร์ค"ส่งสัญญาณไทยเตรียมสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบชี้ 20 ปีข้างหน้ามีประชากรล้นประเทศ 74.4 ล้านคน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานและแสดงปาฐกถาพิเศษ เนื่องในงานวันประชากรโลก 2553 ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยมี นายนาจิบ แอสซิฟี ผู้แทนกองทุนประธานแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย และรองผู้อำนวยการสำนักงานภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิค นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ เอกอัครราชทูต ผู้แทนสื่อมวลชนมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันประชากรโลก ถือเป็นโอกาสดีที่ทุกคนจะได้ตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องของประชากรของโลก ซึ่งปัจจุบันมีอยู่เกือบ 7,000 ล้านคน และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าในอีก 15 ปีข้างหน้า จะมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นถึง 7,851 ล้านคน ซึ่งการเพิ่มของประชากรนั้น ไม่ใช่เป็นการเพิ่มขึ้นของตัวเลขเพียงอย่างเดียว แต่ว่าเป็นการเพิ่มขึ้นพร้อม ๆ กับการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้าง ซึ่งมีความสำคัญมากต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทางด้านเศรษฐกิจ สังคม รวมทั้งการเมืองที่ทุกรัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญ เพราะว่าจะต้องมีการกำหนดนโยบายมารองรับ
“ประเด็นท้าทายทางด้านประชากรในอนาคตที่เป็นปรากฏการณ์เกิดขึ้นทั่ว โลก มี 2 เรื่องหลักคือ 1. การก้าวเข้าสู่การเป็น “สังคมผู้ สูงอายุ” อันเนื่องมาจากลดลงของอัตราการเกิดของ ประชากรที่ควบคู่ไปกับความก้าวหน้าของการพัฒนาทางด้านสาธารณ สุข ทำให้ประชาชนมีอายุที่ยืนยาวมากขึ้น 2. การโยกย้ายถิ่นฐานของประชากร เนื่องจากสภาพของโลกปัจจุบันที่มีความสะดวกมากยิ่งขึ้นในเรื่องของการคมนาคม พร้อม ๆ กับการที่ประชากรทั่วโลกต่างความคาดหวังในเรื่องของโอกาสและคุณภาพชีวิต
ประเทศไทยมีแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของประชากร โดยคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 73.4 ล้านคนในอีก 20 ปีข้างหน้า และจะก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ และถือเป็นประเทศหนึ่งที่ก้าวเข้าสู่สังคมดังกล่าวรวดเร็วเป็นอันดับ 2 รองจากสิงค์โปร์ ในกลุ่มระเทศอาเซียน
นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลจึงได้เตรียมแผนรองรับความเปลี่ยนแปลงทางประชากร โดยมีการผลักดันนโยบายหลายเรื่อง เช่น เรื่องกองทุนเงินออมแห่งชาติ การจัดระบบสวัสดิการชุมชน สวัสดิการขั้นพื้นฐานของกลุ่มคนต่าง ๆ
นายนาจิบ แอสซิฟี ผู้แทนกองทุนประธานแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย และรองผู้อำนวยการสำนักงานภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิค ได้กล่าวรายงานว่า กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติให้การสนับสนุนการทำสำมะโนประชากรและเคหะใน รอบปี 2553 เพราะข้อมูลเหล่านี้มีความสำคัญต่อการกำหนดนโยบายและโครงการของประเทศในการ พัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดี อีกทั้งจะช่วยให้ผู้นำและผู้มีอำนาจตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูล ในการจัดทำนโยบายและโครงการเพื่อลดความยากจนและความอดอยาก ความก้าวหน้าทางการศึกษา ความเสมอภาค ฯลฯ ซึ่งข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน จึงมีความจำเป็นสำหรับการปฏิบัติงานอย่างได้ผลในการตอบสนองต่อปัญหายามเกิด ภาวะวิกฤตแก่มวลมนุษยชาติ