posttoday

กรรมกรห้องแอร์

10 พฤษภาคม 2558

ผมเดินเท้าออกจากบ้านทุกวันตอนห้าทุ่ม การเดินทางในซอยเปลี่ยวยามค่ำคืนเช่นนี้

โดย...เอกลักษณ์ หลุ่มชมแข [email protected]

ผมเดินเท้าออกจากบ้านทุกวันตอนห้าทุ่ม การเดินทางในซอยเปลี่ยวยามค่ำคืนเช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นซอยในละแวกบ้านที่คุ้นชิน ลึกๆ แล้วก็หวั่นใจไม่น้อย กังวลถึงสสารที่เรียกว่าคนและไม่ใช่คน กระทั่งหมาที่เห่าหอนก็ยังทำให้ตกใจได้ ผมมักหันรีหันขวางโดยตลอด ดูว่ามีใครตามหลังมาหรือไม่ จริงๆ คงเป็นความฝังใจในวัยเด็กที่เคยเดินในซอยนี้ แล้วถูกบังคับจี้เอาเงินสมัยไปโรงเรียนตอนเช้ามืด โชคดีตอนนั้นสะบัดมือวิ่งหนีได้ทันด้วยความกลัวและตกใจ แต่กระนั้นก็คงทำให้ฝังใจจนถึงทุกวันนี้

ที่สุดแล้วผมไม่ควรกลัวแม้แต่น้อย สภาพที่ผมเดินออกมาจากบ้านทุกค่ำคืน คือชุดพนักงานร้านสะดวกซื้อ มันเป็นเครื่องหมายตีตราประทับผมได้เป็นอย่างดีว่าเป็นคนหาเช้ากินค่ำ แต่เนื่องจากผมเข้าเวรกะดึก จึงอาจขนานนามผมว่าพวกหาค่ำกินเช้าจะถูกต้องกว่า ในตัวผมมีเงินไม่เคยเกินวันละ 100 บาท แน่นอนบางวันผมมีเงินติดตัวเฉพาะค่ารถเมล์ในการไปทำงาน ทรัพย์สินอย่างอื่นในตัวไม่มีเลย ไม่มีแม้แต่โทรศัพท์มือถือ จึงไม่มีเหตุผลใดๆ ในการกลัวถูกปล้นหรือจี้เอาทรัพย์สิน ความกังวลคงไม่ใช่ทรัพย์สิน ผมคิดเสมอว่า ถึงแม้ผมจะไม่มีทรัพย์สินติดตัวอยู่เลย แต่ผมมีสัญชาตญาณ รักตัวกลัวตายไม่แพ้ใคร ชีวิตผมก็มีค่าไม่น้อยไปกว่าชีวิตใครเช่นกัน

ผมเดินออกมาต่อรถเมล์ที่หน้าปากซอยตรงถนนใหญ่ อยู่ห่างจากที่พักของผมประมาณ 2 กิโลเมตร พอให้เรียกเหงื่อได้ก่อนไปทำงาน เสมือนการวอร์มร่างกายไปในตัวเพื่อเตรียมทำงาน รถเมล์เกือบทุกสายผ่านที่ทำงานของผม แต่ไม่ใช่ทุกคันที่ผมจะขึ้น อย่างที่บอกไปแล้วว่า ในตัวผมมีเงินในแต่ละวันไม่ถึง 100 บาท บางวันมีพอแค่ค่ารถไปทำงาน ดังนั้นผมจึงเลือกรอรถเมล์ร้อน ราคา 6 บาทตลอดสาย แม้บางวันจะเดินมาเหนื่อยๆ และอยากนั่งรถแอร์บ้างก็ตาม แต่เมื่อคำนวณต้นทุนค่าเดินทางแล้ว ผมต้องทำงานเกือบสองชั่วโมงกว่าจะได้ค่าเดินทางโดยรถปรับอากาศ ดังนั้นชีวิตพนักงานร้านสะดวกซื้ออย่างผม มีทางเลือกไม่มากนัก ในขณะที่เวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว รถประจำทางที่ผ่านมาแต่ละคันแน่นไปด้วยเพื่อนผู้ทำงานตรากตรำมาทั้งวัน ในขณะที่ผมกำลังจะไปเริ่มต้นการตรากตรำทำงานในคืนก่อนเช้าวันใหม่

ผมถือวุฒิ ม.6 ไปสมัครงานที่ร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง ด้วยความเชื่อว่าเป็นงานที่สมัครและรับเข้าทำงานง่าย ซึ่งก็จริงดั่งคิดไว้ ผมไปสัมภาษณ์และอบรมงานเพียง 2 วันก็ได้เริ่มต้นทำงานที่ร้านสะดวกซื้อ ในสาขาซึ่งไกลจากบ้านพอสมควร เนื่องจากสาขานี้กำลังขาดคน (โดยเฉพาะขาดพนักงานผู้ชาย) ตอนนั้นผมตัดสินใจเลือกเวลาทำงานในกะกลางคืน เพราะคิดว่ากะกลางคืนลูกค้าจะน้อย และงานน่าจะสบายกว่ากะเช้าหรือกะบ่าย หารู้ไม่ว่างานในร้านสะดวกซื้อ ช่วงเวลาที่ทำงานหนักที่สุดคือช่วงเวลากลางคืน เนื่องจากเป็นช่วงที่ของมาส่ง ต้องแบกของ นับของ จัดของ ตลอดจนเป็นช่วงเวลาที่มีการทำความสะอาดใหญ่ในอุปกรณ์ต่างๆ ภายในร้าน ตอนแรกที่คิดว่ากะกลางคืนที่ดูเหมือนจะชิลๆ ลูกค้าน้อย กลายเป็นว่าทำงานหนักแทบไม่มีเวลาพัก

ผมถูกเรียกว่าพนักงานพาร์ตไทม์ ชื่อเรียกทำนองนี้แหละที่ทำให้ไม่มีสวัสดิการใดๆ เลย  มันคล้ายๆ พนักงานชั่วคราว พนักงานที่ทำงานนอกเวลา ไม่เต็มเวลา ไม่ใช่พนักงานประจำ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว พวกเราทำงานเต็ม 8 ชั่วโมง เปรียบเสมือนพนักงานประจำ เพราะทำงานเกือบทุกวัน มีวันหยุดสัปดาห์ละครั้ง หรือถ้ามีคนลาเราอาจต้องมาแทนไม่ได้หยุด พนักงานอย่างพวกผมได้ค่าจ้างเป็นรายชั่วโมง นั่นหมายความว่าทำงานตามเวลาเท่าไหร่ก็ควรได้ค่าจ้างเท่านั้น

ในความเป็นจริงแล้ว ผมต้องมาเข้างานก่อนเวลาตอกบัตรประมาณครึ่งชั่วโมงเพื่อรับกะจากพนักงานรอบที่แล้ว และทำงานหลังเวลาตอกบัตรออกงานแล้วอีกครึ่งชั่วโมงเพื่อส่งมอบกะให้กับพนักงานรอบต่อไป โดยไม่ได้รับค่าตอบแทนในส่วนนี้  ส่วนใหญ่แล้วจะมีเวลาทำงานประมาณ 8 ชั่วโมง โดยมีเวลาพักกินข้าว 1 ชั่วโมง (ไม่ได้รับค่าแรงเพราะถือเป็นชั่วโมงพัก) แต่พอทำงานจริง กินข้าวและพักผ่อนไม่เคยถึง 1 ชั่วโมง ต้องรีบกลับมาทำงาน เพราะลูกค้าเข้าตลอด สินค้าก็ต้องหมั่นเติม เวลาพักจึงไม่ได้พัก ที่สำคัญไม่ได้ค่าแรงในเวลาพักที่ต้องทำงานด้วย

ผมทำงานในร้านสะดวกซื้อที่มีของกินเยอะ ความหิวไม่เคยปรานีใคร โดยเฉพาะคนทำงานหนักและจนอย่างผม (555) ในแต่ละวันพนักงานอย่างพวกผมมีหน้าที่คัดสินค้าของกินที่หมดอายุมาทิ้ง เรียกว่าของตัดจ่าย จริงๆ แล้วบริษัทมีกฎห้ามนำของตัดจ่ายมากิน ต้องทิ้งขยะสถานเดียว แต่ในทางปฏิบัติก็ขึ้นอยู่กับผู้จัดการร้านหรือผู้ช่วยผู้จัดการร้านที่คุมกะนั้นๆ ว่าจะผ่อนปรนแบบไหน บางสาขาจึงนำของตัดจ่ายที่จะทิ้งมาให้เพื่อนร่วมงานประทังความหิวโหย เพราะที่นี่พวกพนักงานแทบจะรู้จักฐานะของกันและกันทั้งร้านว่าส่วนใหญ่มาจากครอบครัวยากจน และต้องทำงานเพื่อส่งเสียตัวเอง 

ร้านที่ผมทำงาน มีระบบการตรวจนับเงินว่าวันนี้พนักงานพกเงินมากี่บาท และเหลือเงินกลับบ้านกี่บาท เพื่อป้องกันการทุจริต บางวันเพื่อนร่วมงานผมเอาเงินมาทำงาน 10 บาท สำหรับซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกินเป็นอาหารกลางวัน ไม่ต้องนับถึงค่ารถขากลับที่อาจจะต้องขอหยิบยืมจากเพื่อนร่วมงาน ดังนั้นกฎเหล็กเรื่องการห้ามกินของตัดจ่าย จึงเป็นเรื่องเฉพาะสาขาที่รู้เห็นเป็นใจกัน นำของที่จะทิ้งขยะบางส่วนมาแบ่งให้พนักงานกินประทังความหิว

ภาพในหัวก่อนผมมาทำงานที่ร้านสะดวกซื้อ ผมจินตนาการว่าเป็นงานสบายเพราะไม่ร้อน ทำงานในห้องแอร์ที่มีความเย็นทั้งวัน ใครจะรู้บ้างว่าความเย็นเป็นทุกข์มากๆ (ประมาณว่ามึงอยากเย็นนักใช่มั้ย) หน้าที่หลักของพนักงานร้านสะดวกซื้อในแต่ละกะคือการเติมสินค้าโดยเฉพาะเครื่องดื่ม ตู้เย็นที่ร้านสะดวกซื้อ ส่วนใหญ่จะเป็นห้องเย็นขนาดใหญ่ พนักงานไม่ได้เติมสินค้าที่หมดจากหน้าประตูตู้เย็น แต่จะเข้าไปเติมสินค้าจากห้องเย็นด้านหลัง ซึ่งหนาวมาก ก่อนการเข้าห้องนี้จะต้องสวมเสื้อกันหนาวและถุงมือ อยู่ในนั้นได้ไม่นานเพราะทนความหนาวไม่ไหว

บางวันผมเติมสินค้าข้างในห้องเย็นจนปวดหัวรุนแรงเพราะเย็นจัด ออกมาถึงกับมือเท้าชาเพราะความหนาวเย็นของมัน กลายเป็นว่าทำงานในที่เย็นๆ เกินไปซะแล้ว (555) จินตนาการก่อนหน้านี้ ผมเห็นว่างานที่นี่สบาย เพราะเห็นแต่พนักงานหยิบสินค้าไปสแกนเพื่อคิดเงิน หยิบใส่ถุง และทอนตังค์ พอเห็นแค่นี้จึงคิดว่างานหมูๆ แต่ในความเป็นจริง มีงานเบื้องหลังจำนวนมากที่ต้องยกของ จัดของ ทำความสะอาด โดยเฉพาะกะกลางคืนที่เราไม่ค่อยได้ไปร้านสะดวกซื้อ จึงไม่รู้ว่างานหนักมาก ตอนผมไปทำเป็นผู้ชายคนเดียวของกะนี้ ผมจึงเปรียบเสมือนไข่ในหิน ที่ต้องทำทุกอย่างที่ผู้หญิงทำไม่ได้หรือทำไม่สะดวกนัก เช่น การยกของหนัก ตักบ่อไขมัน ทำความสะอาดชั้นสินค้า ขัดล้างหน้าร้าน ฯลฯ 

ทุกวันที่ผมกลับถึงบ้าน ผมหลับเป็นตายทุกวัน ตื่นมาเพื่อเข้ากะในช่วงดึกของอีกวัน พนักงานในร้านแม้ว่าจะมีตำแหน่งแตกต่างกัน ทั้งผู้จัดการร้าน ผู้ช่วยผู้จัดการร้าน หรือพนักงานพาร์ตไทม์ จริงๆ แล้วมีงานคล้ายๆ กันมาก เราอาจเห็นผู้จัดการร้านหรือผู้ช่วยผู้จัดการมายกของ จัดของ กระทั่งกวาดถูพื้น เป็นเรื่องปกติที่เราจะเห็นภาพแบบนี้ในร้านสะดวกซื้อ  ยังไม่นับรวมเหตุการณ์เงินในร้านหายหรือไม่ครบตามจำนวนยอดขาย ก็เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของพนักงานทุกคนในร้านที่จะต้องเฉลี่ยเงินหารกันให้ครบตามจำนวนที่ขาดไป

หลังจากผมทำงานได้สักระยะ วันหนึ่งระหว่างนั่งรถกลับบ้านหลังเลิกงานในช่วงสิ้นเดือน ผมรู้สึกเหนื่อยล้าและดูเหมือนจะถูกเอาเปรียบจากการทำงานจนรู้สึกว่าตัวเองทำงานเกินไปกว่าค่าแรงงานที่ได้รับชั่วโมงละไม่ถึง 30 บาท เช้าวันนั้นก่อนเข้านอน ผมตัดสินใจโทรหาผู้จัดการร้าน แจ้งขอลาออก หลังจากนั้นผมหลับเป็นตาย ตื่นมาในรุ่งเช้าของอีกวัน โดยที่ผมไม่ต้องมีสภาพแบบที่พวกเรามักเรียกกันเองว่าเป็นกรรมกรห้องแอร์อีกต่อไป