posttoday

พระลิขิตพระสังฆราชชี้ชัด "ธัมมชโย" ปาราชิกจี้รัฐจัดการ

18 กุมภาพันธ์ 2558

กมธ.ศาสนา สปช. ชี้ธัมมชโยเป็นปาราชิกตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช จี้รัฐบาลดำเนินการตามมติมหาเถรสมาคม พศ.ไร้คำตอบจะทำอย่างไร

กมธ.ศาสนา สปช. ชี้ธัมมชโยเป็นปาราชิกตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช จี้รัฐบาลดำเนินการตามมติมหาเถรสมาคม พศ.ไร้คำตอบจะทำอย่างไร

เมื่อวันที่ 18 ก.พ. นายไพศาล พืชมงคลอดีตสมาชิกวุฒิสภาและอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก www.facebook.com/Paisal.Fanpage ระบุว่า ในการประชุมคณะกรรมาธิการศาสนาสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่มีนายไพบูลย์ นิติตะวันเป็นประธานเมื่อวันที่ 17 ก.พ. ได้เชิญผู้แทนสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมาชี้แจง ประกอบหลักฐานต่าง ๆ จำนวนมากใน กรณีของพระเทพญาณมหามุนี หรือหลวงพ่อธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดธรรมกาย และประธานมูลนิธิธรรมกาย

ทั้งนี้จากการชี้แจง ชี้ว่าพระเทพญาณมหามุนี เป็นปาราชิก ขาดจากความเป็นภิกษุตามพระลิขิตสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบต้องบังคับการให้เป็นไปตามมติมหาเถรสมาคม แต่ในที่ประชุมผู้แทนของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติไม่สามารถตอบคำถามได้ว่า จะดำเนินการอย่างไรต่อไป

"คณะกรรมาธิการฯ หลายท่านมีความเห็นว่า จะต้องให้รัฐบาลซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบบังคับการให้เป็นไปตามมติมหาเถรสมาคมที่มีมติรับรองพระลิขิตสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และให้ดำเนินการตามพระลิขิตนั้นให้สำเร็จ"นายไพศาลระบุ

นายไพศาลระบุอีกว่า  ในเรื่องนี้ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระลิขิตลงวันที่ 26 เม.ย. 2542 สองประการ คือ “ต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับผู้ไม่ใช่พระปลอมเป็นพระ ด้วยการนำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง ทำความเศร้าหมองเสื่อมเสียให้เกิดแก่สงฆ์ในพระพุทธศาสนา” และ อีกประการหนึ่งคือ “ต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดทันที (5 เมษายน 2542)”

พระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้นำเข้าสู่การพิจารณาของมหาเถรสมาคมสองครั้ง และมหาเถรสมาคมมีมติครั้งที่ 191/2542 และครั้งที่ 193/2542 ว่าให้ดำเนินการรับโอนที่ดินเป็นของวัดพระธรรมกาย ส่วนกรณีอื่น ๆ (หมายถึงกรณีต้องปฏิบัติในการเป็นปาราชิก) ให้กรมการศาสนาร่วมกับเจ้าคณะภาค 1 ติดตามเพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติต่อไป และในมติที่ 193/2542 ก็มีมติชัดเจนว่ามหาเถรสมาคมมีมติรับทราบพระดำริที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานมาทั้งหมด และ “มหาเถรสมาคมมีมติสนองพระดำริมาโดยตลอด ให้ชอบด้วยกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม” และส่งเรื่องให้ฝ่ายสังฆการดำเนินการตามมติมหาเถรสมาคมต่อไป

หลังมหาเถรสมาคมมีมติแล้วได้มีการดำเนินการรับโอนที่ดินเป็นของวัดเรียบร้อยแล้ว แต่มติที่ให้ดำเนินการตามพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในกรณีที่ธัมมชโยเป็นปาราชิก ซึ่งต้อง “พ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับผู้ไม่ใช่พระปลอมเป็นพระ” นั้น ยังไม่ได้มีการปฏิบัติจนกระทั่งบัดนี้