posttoday

บิดา-มารดาท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์พบตร.ปฏิเสธทุกข้อหา

09 กุมภาพันธ์ 2558

บิดา-มารดาท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์เข้าพบตำรวจกองปราบ ปฏิเสธทุกข้อหา หลังสาวราชบุรีแจ้งความ ยืนยันไม่เคยรู้จักมาก่อน

บิดา-มารดาท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์เข้าพบตำรวจกองปราบ ปฏิเสธทุกข้อหา หลังสาวราชบุรีแจ้งความ ยืนยันไม่เคยรู้จักมาก่อน

เมื่อวันที่ 9 ก.พ. นายอภิรุจ สุวะดี อายุ 72 ปี และนางวันทนีย์ สุวะดี อายุ 66 ปี บิดาและมารดาของท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี เข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ภายหลังถูก น.ส.ศวิตา หรือนก มณีจันทร์ อายุ 31 ปี ชาว จ.ราชบุรี แจ้งความดำเนินคดีในความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง , ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนได้รับความเสียหาย และใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานแจ้งความเพื่อกลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษทางอาญา

สำหรับขั้นตอนการรับมอบตัวครั้งนี้ได้จำลองเหตุการณ์ในขณะเกิดเหตุขึ้นด้วย โดยใช้ตำรวจเป็นตัวแสดงแทน และมีการถ่ายภาพนิ่งและบันทึกวีดีโอไว้ในทุกขั้นตอน ก่อนที่พนักงานสอบสวนจะเริ่มสอบปากคำ นายอภิรุจ และนางวันทนีย์ โดยแยกกันสอบที่ห้องพนักงานสอบสวน และมีการพิมพ์ลายนิ้วมือทำประวัติ และลงบันทึกประจำวันไว้

นางวันทนีย์ กล่าวก่อนการสอบปากคำว่า ไม่เคยรู้จักหรือเคยเห็นหน้า น.ส.ศวิตา และครอบครัว รวมทั้งไม่ทราบเรื่องว่าเขาได้ถูกแจ้งความดำเนินคดีจนต้องถูกจำคุกมาก่อนหน้านี้ ซึ่งส่วนตัวแล้วจะอาศัยอยู่ใน กทม.นานๆ ครั้ง จึงจะเดินทางไปอยู่ที่ จ.ราชบุรี โดยจะไปๆ มาๆ และเมื่อมาเห็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์เรื่องที่ถูก น.ส.ศวิตา แจ้งความดำเนินคดีตนและสามีก็รู้สึกตกใจ เราไม่รู้เรื่องจริงๆ ยืนยันได้ว่าไม่เคยกลั่นแกล้งให้เขาต้องติดคุก

“ดิฉันก็ไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไร เพราะคิดว่าคนเราทำอะไรก็คงต้องรู้อยู่แก่ใจ เพราะฉันไม่เคยรู้จักกับเขา และไม่รู้จักว่าใครเป็นใครในครอบครัวเขา ขอความเป็นธรรมให้กับเราบ้าง เราไม่เคยรู้เรื่องเลยจริงๆ ที่ผ่านมาก็ไม่เคยคิดจะกลั่นแกล้งใคร จะให้ไปสาบานที่ไหนก็ได้เรายอมเลย เราไม่รู้เรื่องแต่พอมาเห็นข่าวก็ต้องตกใจว่าทำไมต้องมีเรื่องแบบนี้กับเรา ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีปัญหาเรื่องชู้สาว หรือเรื่องอะไรแบบนี้ แม้ว่าจะมีใครเคยมาขอพบเราที่บ้าน ฉะนั้นอยากขอให้เอาเรื่องจริงมาคุยกันดีกว่า อย่าทำเรื่องแบบนี้เลย"นางวันทนีย์กล่าว

ส่วนก่อนหน้านี้เคยมีใครมาขอความช่วยเหลือบ้างหรือไม่ นางวันทนีย์ กล่าวว่า ไม่เคยช่วยใครเราช่วยใครไม่ได้ ทุกวันนี้ก็ไม่มีน้ำยาจะไปทำอะไรได้ เพราะกลัว เมื่อลูกอยู่อย่างนั้นแล้ว ที่ผ่านมาก็ไม่เคยช่วยเหลือใครเลย บอกตรงๆ เลย

"สาเหตุที่ถูกกล่าวหา คิดว่าคงไม่มีอะไรจะเสียในชีวิตนี้ เพราะเสียทุกอย่างไปหมดแล้ว อย่าทับถมมากนักเลย จะเอาอะไรกับเราอีก เราไม่มีน้ำตาจะร้องแล้วทุกวันนี้ อยากให้สงสาร เมตตาเราบ้าง เราไม่เคยที่จะดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง เรารักทุกพระองค์"นางวันทนีย์กล่าว

ทั้งนี้ภายหลังการสอบปากคำเป็นเวลานานกว่า 2 ชั่วโมง นางวันทนีย์ และนายอภิรุจ ได้ออกจากห้องสอบสวน โดยไม่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ก่อนที่จะขี้นรถตู้เดินทางออกจากกองบังคับการปราบปรามไป 

พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รักษาราชการแทน ผู้บังคับการปราบปราม กล่าวว่า การสอบปากคำเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ซึ่งระหว่างการสอบปากคำทางเจ้าหน้าที่ได้มีการเชิญทนายมาร่วมฟัง รวมทั้งมีการบันทึกขั้นตอนการสอบปากคำทุกขั้นตอน ทั้งนี้เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองอยู่ในวัยชราทางเจ้าหน้าที่ได้มีการเตรียมแพทย์ และรถพยาบาลไว้ด้วย เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้พิมพ์ลายนิ้วมือ ถ่ายภาพทำประวัติตามขั้นตอนปกติ

จากการสอบปากคำทั้งสองให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา  ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้น ซึ่งหลังจากการสอบปากคำเสร็จผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองสามารถเดินทางกลับตามภูมิลำเนาได้ตามปกติ เพราะทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้มีการออกหมายเรียก ซึ่งเป็นไปตาม ตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความตามอาญา มาตรา 134

รรท.ผบก.ป. กล่าวอีกว่า จากนี้จะทำการสอบปากคำเพิ่มอีก 3 ปาก โดยในวันพรุ่งนี้จะมีการเรียกนายดาบตำรวจ ซึ่งเป็นลุงของ น.ส.ศวิตา ตามที่ปรากฏเป็นข่าวมาทำการสอบปากคำ และหลังจากนี้จะทำการเรียกสอบปากคำผู้ทีเกี่ยวข้องทั้งหมด  ซึ่งก่อนหน้านี้ทางเจ้าหน้าที่ได้มีการสอบปากคำนายตำรวจทั้งสองแล้ว โดยทั้งสองให้การเป็นประโยชน์ ระบุว่าเคยเห็นหน้า แต่บางคนไม่รู้จักเลย อย่างไรก็ดีจะทำการรวบรวมวัตถุพยานอื่นๆ จำพวกเอกสาร เอกสาร และภาพถ่ายต่างๆ ในวันดังกล่าว เพื่อนำมาประกอบการสอบปากคำ  และจะทำการเร่งสรุปสำนวนให้เสร็จโดยเร็วคาดว่าจะใช้เวลา 30 วัน  และจะยังไม่มีการเรียกผู้ถูกกล่าวหามาทำการสอบปากคำเพิ่ม

ด้าน นายพัสกร เพชรในหิน ผอ.ศูนย์คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กล่าวว่า วันนี้ พ.ต.อ.ดร.ณรัตช์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ได้มอบหมายให้ตนประสานงานและรับเรื่องราวร้องทุกข์กรณีของผู้เสียหายรายนี้ ซึ่งมี 2 ส่วนด้วยกันที่จะให้การช่วยเหลือ ส่วนแรกคือการช่วยเหลือเยียวยาจำเลยในคดีอาญา ซึ่งกรณีถ้าท้ายที่สุดแล้วคดีถึงที่สุดแล้วพบว่าผู้เสียหายไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด หรือถูกกล่าวหาแจ้งความเท็จก็สามารถเข้ารับเงินเยียวยาได้ และอีกส่วนคือการขอคุ้มครองความปลอดภัยในฐานะพยานในคดีอาญา