posttoday

พบเบาะแสอดีตผู้บริหารสจล.เอี่ยวคดียักยอกเงิน

26 มกราคม 2558

ชุดสืบสวนคดียักยอกเงินสจล. พบอดีตผู้บริหารอาจเข้าข่ายกระทำผิดพัวพันเบิกจ่ายเงิน ตร.เร่งเรียกบัญชีจากธนาคารมาตรวจสอบ

ชุดสืบสวนคดียักยอกเงินสจล. พบอดีตผู้บริหารอาจเข้าข่ายกระทำผิดพัวพันเบิกจ่ายเงิน ตร.เร่งเรียกบัญชีจากธนาคารมาตรวจสอบ

เมื่อวันที่ 26 ม.ค. รายงานข่าวจากชุดสืบสวน คดียักยอกเงินคงคลังสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ระบุว่า จากการแกะรอยทางด้านบัญชีการเบิกจ่ายเงินของ สจล. กับธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งพบว่า มีอดีตผู้บริหารของ สจล. คนหนึ่งพัวพันกับการเบิกจ่ายเงินโดยมิชอบ และยังพบว่าได้ลงลายมือชื่อปิดบัญชีธนาคารจำนวน 3 บัญชี ที่เงินในบัญชีดังกล่าวไม่หลงเหลือแล้วเพราะถูกโอนถ่ายไปยังบัญชีของบุคคลอื่น ทั้งนี้การลงลายมือชื่อปิดบัญชีเป็นการกระทำย้อนหลังจากที่ได้พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว ซึ่งเป็นข้อพิรุธว่าจงใจที่จะต้องการทำลายหลักฐานการทุจริต เพื่อไม่ให้คณะผู้บริหารชุดปัจจุบันตรวจสอบพบว่ามีเงินจำนวนมากน้อยแค่ไหนถูกยักย้ายถ่ายเทไปบ้าง ซึ่งการกระทำดังกล่าวน่าจะเข้าข่ายการกระทำความผิด

นอกจากอดีตผู้บริหารคนดังกล่าวแล้วยังมี ผู้บริหารอีก 1 คน และเจ้าหน้าที่ด้านการเงินของ สจล. อีก 1 คน เข้าข่ายร่วมกระทำความผิดในด้วย โดยชุดสืบสวนได้รวบรวมหลักฐานทั้งหมดส่งต่อให้ฝ่ายสอบสวนพิจารณาในเรื่องของการแจ้งข้อหาบุคคลที่เกี่ยวข้งทั้งหมดแล้ว

วันเเดียวกัน นายพงษ์สิทธิ์ ชัยฉัตรพรสุข ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายบริหารป้องกันอาชญากรรมทางการเงินและความปลอดภัยของธนาคารไทยพาณิชย์พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ธนาคาร เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รักษาราชการแทน ผู้บังคับการกองปราบปราม (รรท.ผบก.ป.) โดยนำเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับคดียักยอกเงิน สจล. มอบให้พนักงานสอบสวนเพื่อประกอบสำนวนคดี

พ.ต.อ.อัคราเดช เปิดเผยว่า เอกสารหลักฐานที่ผู้บริหารธนาคารไทยพาณิชย์นำมามอบให้พนักงานสอบสวนเพิ่มเติมในวันนี้ เป็นเอกสารรายการเดินบัญชี ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลรายสำคัญในคดีซึ่งเป็นประโยชน์ต่อคดีอย่างมาก ทำให้สามารถทราบว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีบ้าง ซึ่งคาดว่าอาจจะมีการเรียกบุคคลที่พบว่าเกี่ยวข้องเข้ามาให้ข้อมูลกับทางพนักงานสอบสวน และให้ความมั่นใจว่าจะสามารถติดตามผู้ต้องหาทุกรายมาดำเนินคดีตามกฎหมายและติดตามเงินมาคืน สจล. ให้ได้มากที่สุด คาดว่าจะสามารถสรุปสำนวนคดีให้แล้วเสร็จภายในช่วงต้นเดือนมี.ค.นี้

ด้าน นายพงษ์สิทธิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาทางธนาคารไทยพาณิชย์กับกองปราบฯ มีการประสานงานกันตลอดเวลาหลังจากทางสถาบันเทคโนโลยีฯลาดกระบังเข้าแจ้งความ ทางธนาคารก็เข้าช่วยเหลือตั้งแต่วันแรกที่แจ้งความจนถึงปัจจุบัน ส่วนเรื่องเอกสารหลักฐานที่ทางตำรวจร้องขอก็มีการมอบให้พนักงานสอบสวนทั้งหมดครบถ้วน ซึ่งธนาคารพยายามให้ข้อมูลมากที่สุด เพื่อทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามจับกุมคนร้ายได้อย่างเร็วที่สุด ขอยืนยันว่าทางธนาคารให้ความร่วมมือมาตลอด ไม่เคยละเลยประวิงเวลา

พ.ต.อ.ณษ เศวตเลข รองผบก.ป. ในฐานะหัวหน้าทีมสอบสวน เปิดเผยว่า  หลังจากการตรวจสอบพบว่าเอกสารการโอนเงินในบัญชีของ สจล. ไปยังบัญชีของผู้ต้องหารายอื่นๆเป็นเพียงสำเนาเท่านั้น  ไม่ใช่เอกสารฉบับจริง โดยเอกสารฉบับจริงอยู่ที่ธนาคารกรุงไทย และธนาคารกสิกรไทย เจ้าหน้าที่จึงประสานขอเอกสารฉบับจริงจากธนาคารทั้งสองแห่ง ได้รับการยืนยันจากธนาคารกรุงไทยว่า จะรีบนำเอกสารดังกล่าวมาให้ก่อนสิ้นเดือนม.ค. ขณะที่ทางธนาคารกสิกรไทยขอเวลารื้อค้นเอกสารยังไม่สามารถระบุวันส่งมอบได้

ทั้งนี้เชื่อว่าหากได้เอกสารฉบับจริงจะสามารถระบุได้ว่ามีบุคคลใดเป็นผู้เซ็นชื่อในการโอนเงินของ สจล.บ้าง  และจะทำให้คดีสามารถคลี่คลายได้เร็วยิ่งขึ้น

"ในเอกสารตัวจริงจะบอกว่าใครเป็นคนเซ็นชื่อในการโอนเงินบ้าง ซึ่งหากพบว่าคนที่เซ็นไม่ได้มีอำนาจ ก็ถือเป็นความผิดแน่นอน  เพราะเมื่อไม่มีอำนาจ คุณเซ็น ได้อย่างไร   แต่หากคนเซ็นเป็นบุคคลที่มีอำนาจอยู่แล้ว ก็จะสามารถระบุตัวบุคคลเพื่อเรียกมาสอบปากคำได้ทันที"พ.ต.อ.ณษ กล่าว

รองผบก.ป. กล่าวอีกว่า สำหรับ นายถวิล พึ่งมา อดีตอธิการบดี สจล. นั้นได้ติดต่อขอให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนในวันนี้ เวลา 14.00 น. แต่เนื่องจากเจ้าหน้าที่ยังไม่สะดวก เพราะนัดเจ้าหน้าที่ธนาคารไทยพาณิชย์ไว้แล้ว จึงขอเลื่อนนัดนายถวิลให้ปากคำในวันที่ 27 ม.ค.เวลา 10.00 น.แทน  อย่างไรก็ตามการนัดมาให้ปากคำในครั้งนี้ เป็นการนัดนายถวิลในฐานะพยานเท่านั้นยังไม่ได้ตั้งข้อหาแต่อย่างใด

ขณะที่ นายถวิล  ให้สัมภาษณ์ผ่านโทรศัพท์ว่า  เพิ่งเดินทางกลับจากต่างประเทศ และเพิ่งทราบเรื่องการได้รับหมายเรียกจากพนักงานสอบสวนให้เข้ามาให้ข้อมูลเป็นครั้งที่ 3  ซึ่งพร้อมที่จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ โดยได้นัดหมายว่าจะเข้าให้ข้อมูลในวันนี้ เวลา 14.00 น. แต่เมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนได้โทรศัพท์หาตน โดยระบุ ว่าขณะนี้ยังสอบปากคำพยานปากอื่นไม่แล้วเสร็จ  ดังนั้นขอให้ตนเข้าพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 27 ม.ค.เวลา 10.00 น. 

อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักเงินของ สจล.กว่า 1,400 ล้านบาท เพราะได้พ้นจากตำแหน่งมาแล้วกว่า 1 ปี และก่อนหน้านี้ได้นำเอกสารหลักฐานบัญชีธนาคารมามอบให้พนักงานสอบสวนตรวจสอบไปแล้ว พร้อมให้ข้อมูลไปจนหมดสิ้นแล้ว แต่เมื่อพนักงานสอบสวนยังติดใจสงสัยก็พร้อมให้ข้อมูลอีกเป็นครั้งที่ 3