จนท.เผยประสบการณ์แปลกยกรถคดีฆ่าแม่ลูกศรีธนะขัณฑ์

เจ้าหน้าที่ยกรถกองปราบปรามเผยประสบการณ์สุดแปลกหลังเข้ายกรถเบนซ์ในคดีดังอุ้มฆ่าแม่-ลูกตระกูลศรีธนะขัณฑ์

เมื่อวันที่ 12 พ.ย. นายสันติ ทิมวังกุ่ม อายุ 57 ปี เจ้าหน้าที่ประจำรถยกกองปราบปราม เปิดเผยถึง การเคลื่อนย้ายรถยนต์ของกลางในคดีต่างๆออกมาจากสถานที่เก็บของกลางต่างๆ ใต้ถุนตึก 4 ชั้น บก.ป. ว่าตนได้รับคำสั่งจาก พล.ต.ต.ชัยทัต บุญขำ ผบก.ป. ให้เคลื่อนย้ายออกไปให้เสร็จสิ้นภายในสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อจะได้ส่งมอบพื้นที่ให้บริษัทรับเหมาประมูลรื้อตึกที่ทำการกองบังคับการปราบปรามก่อนสร้างตึกใหม่ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

สำหรับรถยนต์ เบนซ์230 อี สีขาว ทะเบียน  8 ฉ 3237 กทม. ซึ่งเป็นรถในคดีดัง 2 แม่ลูกตระกูลศรีธนะขัณฑ์ที่ถูกจัดฉากฆาตกรรมอำพราง เหตุเกิดเมื่อปี 2537 นั้นได้ใช้รถยก แล้วเคลื่อนย้ายออกมาเมื่อวันเสาร์ที่ 9 พ.ย. ก่อนนำมาจอดไว้ตรงทางเข้าออกข้างซุ้มองค์พระพุทธพิทักษ์นำชัย ซึ่งใช้เวลาไม่นาน ทั้งที่ใต้ตึกเป็นทางลาดลึกลงไป เวลาเอารถของกลางขึ้นจะต้องใช้สลิงดึงขึ้น แต่รถเบนซ์ของกลางคันนี้กลับเอาขึ้นได้ไม่ยาก ทั้งที่ก่อนหน้านั้นล้อรถตายหมดทั้ง 4 ล้อเพราะตั้งแต่คดีเสร็จไปแล้วก็เอาไปจอดไว้ใต้ถุนตึกนั้นนานร่วม 20 ปี ตั้งแต่ปี 2537 ถึง ปีนี้

"ผมได้พูดก่อนเคลื่อนย้ายรถดังๆ ว่าถ้าอยากจะออกไปเที่ยวข้างนอกก็ตามมานะ บอกขอให้เอาออกไปได้ง่ายๆ หน่อย ซึ่งเมื่อใช้รถยกลากก็ออกมาได้เลยทันที"นายสันติกล่าว

นายสันติกล่าวอีกว่า สิ่งที่แปลกอีกอย่างหนึ่งของรถเบนซ์ของกลางคดี  2 แม่ลูกศรีธนขัณฑ์คือพวงมาลัยบังคับรถ ซึ่งหายไปตั้งนานแล้ว แต่กลับมีคนเอามาใส่ไว้ดังเดิม ซึ่งปกติรถสภาพค่อนข้างดีแบบนี้จอดทิ้งไว้ในที่ลับตา จะถูกคนลอบเข้าไปขโมยอะไหล่บางชิ้น แต่แปลกรถเบนซ์คันนี้ทุกอย่างอยู่ครบ
มีแค่พวงมาลัยรถที่หายไปนานแล้ว ก่อนจะเข้าไปเคลื่อนย้ายรถออกมา พยายามหาพวงมาลัยเพื่อมาใส่เวลาเคลื่อนย้ายจะได้บังคับล้อได้ง่าย  แต่ก็หาไม่เจอ จึงออกปากพูดบอกลอยๆไปก่อนหน้าจะเคลื่อน 2 วันก็มีคนเอาพวงมาลัยรถมาใส่กลับไว้ดังเดิม

นายสันติกล่าวอีกว่า ขณะที่รถยังอยู่ใต้ถุนตึก วิศวกรคุมงานก่อสร้างผู้หญิงของบริษัทรับเหมาก่อสร้างตึก บอกว่าเห็นผู้หญิงกับเด็กยืนคุยกันอยู่ตรงทางลาดลงใต้ถุนตึกตอนประมาณ 1 ทุ่มคืนวันเสาร์ จึงมาเล่าให้ตนฟัง เพื่อสอบถามก็พบว่าลักษณะของผู้หญิงกับเด็กที่ยืนคุยกันคล้ายกับแม่-ลูกในคดีนี้

ชมคลิป http://youtu.be/fcmf5RyKHd0