สคบ.เผยแชร์ลูกโซ่ระบาดหนักต่างจังหวัด
สคบ.ชี้แชร์ลูกโซ่เริ่มระบาดหนักต่างจังหวัด มี 3 บริษัทขายตรงเข้าข่าย จับมือดีเอสไอ เร่งตรวจสอบคาดความเสียหาย
สคบ.ชี้แชร์ลูกโซ่เริ่มระบาดหนักต่างจังหวัด มี 3 บริษัทขายตรงเข้าข่าย จับมือดีเอสไอ เร่งตรวจสอบคาดความเสียหาย
นายอำพล วงศ์ศิริ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เปิดเผยว่าปัญหาแชร์ลูกโซ่กลับเริ่มกลับมาระบาดหนักอีกครั้ง โดย มี 3 บริษัทที่ดำเนินขายตรงที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด ว่าเข้าข่ายดำเนินการธุรกิจนอกระบบ โดยได้ร่วมมือกับดีเอสไอหรือกรมสอบสวนคดีพิเศษเร่งติดตามตรวจสอบ ซึ่งในเบื้องต้นมีมูลค่าความเสียหายนั้นไม่ต่ำกว่าหลักพันล้านบาท แต่หากปล่อยทิ้งไว้อาจจะสร้างความเสียเป็นมูลค่าระดับหมื่นล้านบาทได้
“ธุรกิจขายตรงพันธุ์ทาง หรือแชร์ลูกโซ่ เริ่มกลับมาระบาดอีกแล้ว เช่น ให้ผู้ร่วมธุรกิจลงเงิน 3 หมื่นบาท และบอกว่าในอีก 2-3 เดือน จะมีรายได้เข้ามา 5 แสนบาท เป็นต้น นั้นจะที่หลอกลวงให้ประชาชนเอาเงินมาลงโดยบอกว่าจะได้ผลตอบแทนสูง ขณะที่ทางสคบ.กับดีเอสไอ อยู่ระหว่างการติดตามตรวจสอบ โดยต้องมีการรวบรวมข้อมูลให้ชัดเจนก่อนที่จะเอาผิดเจ้าของธุรกิจรายนั้นๆ ในเวลานี้จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นแล้วจะหนีไปก่อนที่จะติดตามมาดำเนินคดี ”นายอำพลกล่าว
สำหรับสาเหตที่ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ นั้นส่วนหนึ่งมาจากสภาพเศรษฐกิจที่ทำให้รายได้หลักของประชาชนไม่เพียงต่อการดำรงชีวิตประจำวัน จึงเป็นช่องทางให้กลุ่มมิจฉาชีพที่แฝงตัวทำการหลอกลวงประชาชนด้วยการให้เข้าร่วมลงทุนจำนวนน่อย แต่จะได้รับผลตอบแทนในอัตราที่สูงมาก ส่วนใหญ่จะเข้ามากับธุรกิจขายตรง มีการเก็งกำไรจากการขึ้นลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา การเก็งกำไรจากการขึ้นลงของราคาสินค้าเกษตร หรือการขึ้นลงของดัชนีหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น รวมไปถึงการนำระบบเหมือนธุรกิจอีคอมเมิร์สเข้ามาใช้อีกด้วย
นายอำพล กล่าวอีกว่าแม้ว่าธุรกิจขายตรง จะมีพรบ.ขายตรงและการตลาดแบบตรง พ.ศ.2545 เข้าควบคุมแต่กฎหมายฉบับดังกล่าว ไม่ทันสมัยในด้านบทลงโทษผู้ที่กระทำความผิด โดยขณะนี้มีการเสนอให้แก้ไขเรื่องบทลงโทษ กับผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจที่ผิดไปจากแผนธุรกิจที่ได้ข้ออนุญาตไว้ เป็นต้น ซึ่งจะต้องมีการผลักดันให้แก้ไขกฎหมายผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
อย่างไรก็ตามข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่ามีบริษัทขายตรงและการตลาดแบบตรงจดทะเบียนขึ้นทะเบียนกับกรมฯ 1,000 บริษัท โดยมีทุนจดทะเบียนรวมกัน 3,700 ล้านบาท สร้างยอดขายได้รวมกว่า 5 หมื่นล้านบาท โดยมีบริษัทขายตรง เกิดขึ้น 8 บริษัท แต่จะปิดตัวลง 1 บริษัท ซึ่งที่ผ่านมามีการปิดตัวไปแล้ว 200 บริษัท ขณะที่ภาพรวมบริษัทที่จดทะเบียนกว่า 5.6 แสนราย บริษัทใหม่ที่เกิดขึ้น 4 บริษัท จะปิดตัว 1 บริษัท แสดงให้เห็นว่าภาพรวมธุรกิจขายตรงนั้นปิดตัวน้อยกว่าธุรกิจประเภทอื่น
ด้านนายสุเทพ ยืนยงค์วิทยากุล กรรมการสมาคมการขายตรงไทย กล่าวว่าต้องการให้ภาครัฐเร่งส่งเสริมธุรกิจนี้ เพราะที่ผ่านมาภาคลักษณ์ธุรกิจนั้นยังดูไม่ค่อยดีนัก โดยต้องการผลักดันให้ออกกฎหมายลูกเรื่องบทลงโทษ ที่รุนแรงขึ้น อีกทั้งเนื่องจากใกล้จะเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หากปล่อยให้ปัญหาเรื่องแชร์ลูกโซ่ ลุกล่ามจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ระหว่างประเทศได้