posttoday

ร้องดีเอสไอสอบอดีตผู้บริหารคุรุสภาจับมือบ.เอกชนฮั้วรับงานกทม.

09 กันยายน 2557

สหภาพองค์การค้าของ คุรุสภา ยื่น “ดีเอสไอ” สอบอดีตผู้บริหารจับมือ บ.เอกชน ฮั้วรับงาน กทม. แพงเกินจริง

สหภาพองค์การค้าของ คุรุสภา ยื่น “ดีเอสไอ” สอบอดีตผู้บริหารจับมือ บ.เอกชน ฮั้วรับงาน กทม. แพงเกินจริง

วันที่ 9 ก.ย. เวลา 10.00 น. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายอารีย์ สืบวงศ์ ประธานสหภาพองค์การค้าของคุรุสภา พร้อมด้วยตัวแทนสหภาพฯ ประมาณ 20 คน ได้เข้ายื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อให้ตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชั่นของอดีตผู้บริหารและเจ้าหน้าที่องค์การค้าของคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) จากกรณีนายสมมาตร์ มีศิลป์ ผู้อำนวยการองค์การค้าของ สกสค. คนปัจจุบันได้มีนโยบายให้องค์การค้าของ สกสค. ดำเนิ นการกวดขันและหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาการทุจริต โดยเฉพาะการนำสิทธิพิเศษขององค์การค้าของ สกสค. ไปร่วมกับเอกชนในการฮั้วเสนอราคาในการจำหน่ายสินค้าหรือรับจ้างพิมพ์งาน

นายอารีย์ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบพบว่า อดีตผู้บริหารระดับสูงขององค์การค้าของ สกสค. และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักบริหารการผลิตและการพิมพ์ และสำนักบริหารการตลาดและการขาย ได้ร่วมมือกับบริษัทเอกชนโดยสั่งการประสานงานเพื่อให้องค์การค้าของ สกสค. เข้าเสนอตัวเป็นผู้รับจ้างจัดทำโครงการจัดทำคู่มือส่งเสริมการท่องเที่ยวกรุงเทพมหานคร เป็นภาษาต่างประเทศ จำนวน 1.3 แสนฉบับ วงเงิน 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณของกองการท่องเที่ยว สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร (กทม.) ซึ่งการที่ให้องค์การค้าของ สกสค. ใช้สิทธิพิเศษในการเสนอราคาก็เพื่อต้องการหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เข้าข่ายกระทำความผิดตามมาตรา 4, 9, 10, 11 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542

ประธานสหภาพฯ กล่าวต่อว่า เมื่อ กทม. ได้ทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้างเป็นกรณีพิเศษกับองค์การค้าของ สกสค. ให้เป็นผู้รับจ้างพิมพ์งานแล้ว จากนั้นอดีตผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์การค้าฯ ก็ได้ไปว่าจ้างบริษัทเอกชนพิมพ์งานดังกล่าวอีกทอด ซึ่งจากการดำเนินงานที่ไม่ชอบมาพากล ขัดต่อกฎหมายฮั้วและระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้รัฐต้องใช้งบประมาณสูงเกินความเป็นจริง ทั้ง ๆ ที่การจัดพิมพ์คู่มือการท่องเที่ยวดังกล่าวน่าจะใช้งบประมาณเพียง 2 ล้านบาทเศษเท่านั้น จากประเด็นนี้ทำให้นายสมมาตร์ จึงได้มีการชะลอการจ่ายค่าจ้างให้บริษัทเอกชนที่เป็นธุระในการชักชวนให้มีการกระทำความตามกฎหมายฮั้ว แต่องค์การค้าของ สกสค. ไม่มีอำนาจในการสืบสวนสอบสวนบุคคลและกลุ่มบุคคลในการกระทำความผิดดังกล่าว จึงมายื่นเรื่องให้อธิบดีดีเอสไอใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ดีเอสไอ พ.ศ. 2547 ดำเนินการหาตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป