posttoday

ใช้วันมาฆะเยียวยาสังคมด้วยความรัก

12 กุมภาพันธ์ 2557

ว.วชิรเมธี แนะใช้วันมาฆบูชาเยียวยาสังคมไทยด้วยความรัก

มาฆบูชา...เยียวยาสังคมไทยด้วยความรัก
ว.วชิรเมธี

วันมาฆบูชา ปราชญ์บางท่านกล่าวว่า เป็น “วันแห่งความรัก” ของพระพุทธศาสนา หากพิจารณาอย่างลึกซึ้ง (โดยไม่ต้องอิงกับกระแสวันวาเลนไทน์ก็ได้) ก็จะเห็นว่า คำกล่าวนี้มีข้อเท็จจริงรองรับอยู่เหมือนกัน เพราะในวันดังกล่าวนี้เป็นวันที่
 
1.พระพุทธเจ้า “ผู้เป็นบุคคลแห่งความรัก” หรือผู้ถึงพร้อมด้วยพระมหากรุณาธิคุณต่อสัตว์โลก (มหาการุณิโก) ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่พระอรหันต์ 1,250 องค์

2.พระอรหันต์ทุกองค์ ล้วนเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความรักอันบริสุทธิ์ต่อสรรพสัตว์ ปรารถนาแต่จะช่วยเหลือเกื้อกูลสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ พระอรหันต์ทั้งปวงที่มาประชุมกันในวันนั้นจึงเป็น “ชุมชนแห่งบุคคลที่เปี่ยมด้วยความรัก”
 
3.หลักธรรมสำคัญที่ทรงแสดงในวันมาฆบูชา “ล้วนเป็นหลักธรรมที่นำไปสู่ความรักอันเป็นสากล” เช่น หลักที่ว่า “ไม่ทำความชั่วทั้งปวง ทำความดีให้ถึงพร้อม ชำระจิตให้บริสุทธิ์” ผู้ปฏิบัติตามหลักการนี้สมบูรณ์ก็คือผู้ลุถึงพระนิพพาน และผู้บรรลุพระนิพพานแล้ว ย่อมไม่มีเรื่องอะไรที่จะต้องทำเพื่อตัวเองอีกต่อไป จึงมีจิตใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความเมตตากรุณาต่อสรรพชีวิตทุกถ้วนหน้า ปรารถนาแต่จะช่วยปวงสัตว์ให้พ้นทุกข์ ดังคำกล่าวถึงคุณสมบัติของพระอรหันต์ที่ท่าน ป.อ.ปยุตฺโตระบุไว้ว่า “บุคคลนิพพาน ทำการเพื่อโลก”
 
4.เมื่อพิจารณาลงไปในรายละเอียดของโอวาทปาฏิโมกข์ที่ทรงแสดงในวันมาฆบูชาก็จะพบว่า มีสาระสำคัญที่ชี้ทางให้มวลมนุษยชาติอยู่ร่วมกันด้วยความรัก ด้วยความเมตตาปรารถนาดีต่อกัน เช่น
 
- ความอดทนอดกลั้น คือ การบำเพ็ญตบะอันยอดเยี่ยม
- ผู้ทำร้ายผู้อื่น ไม่นับว่าเป็นนักบวช
- ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่นับว่าเป็นสมณะ
- นักบวช (ในพุทธศาสนา) ไม่กล่าวร้ายใคร ไม่ทำร้ายใคร
 
กล่าวอย่างสั้นๆ ก็คือ หลักการดังกล่าวนี้ ล้วนสอนให้ “ไม่ใช้ความรุนแรงต่อเพื่อนมนุษย์ หรือต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิด” (non-violence) และสอนให้อยู่ร่วมกันด้วยการมี “ขันติธรรม” หรือ “สันติธรรม” ถึงแม้จะถูกกระตุ้นเร้าให้ใช้ความรุนแรงอย่างไรก็ต้องไม่พลัดตกลงไปสู่หลุมพรางของความรุนแรงเป็นอันขาด เหมือนที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า
 
“ต่อให้มีคนจับเธอมัดตรึงสองมือ สองเท้า แล้วใช้เลื่อยที่คมกริบเลื่อยเธอให้ขาดเป็นสองท่อน ต่อให้ถูกกระทำถึงเพียงนี้ก็ต้องไม่โกรธ ผู้ใดโกรธ ผู้นั้นไม่นับเป็นสาวกของเรา”
 
สังคมไทยของเราในเวลานี้ คุกรุ่นไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความโกรธ เกลียด ชิงชัง ความรุนแรงทั้งทางความคิด ทางวาจา และทางการกระทำ จนร่ำๆ จะกลายเป็นมิคสัญญีกลียุคในอนาคตอันใกล้
 
ดังนั้น หากเราคนไทยทุกคน ทุกกลุ่ม จะหันกลับมาหาสารธรรมจากโอวาทปาฏิโมกข์ด้วยการร่วมกันศึกษา ทำความเข้าใจ แล้วน้อมนำหลักธรรมนั้นออกมาใช้เป็นแนวทางในการฟื้นฟูบูรณะสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งขันติธรรมและสันติสุขก็คงจะเป็นการเฉลิมฉลองเทศกาลมาฆบูชาที่ประเสริฐเลิศล้ำที่สุด สมกับที่พระพุทธองค์ตรัสว่า “การบูชาด้วยการนำธรรมะมาปฏิบัติในชีวิตจริงเป็นการบูชาที่มีคุณค่าที่สุด”