posttoday

สธ.ปัดรพ.ปฏิเสธรับหญิงคลอดลูก

14 ตุลาคม 2556

สธ.แจงรพ.ไม่ได้ปฏิเสธรับผู้ป่วย กรณีหญิงคลอดลูกเองในห้องและทารกตาย ระบุได้แนะนำให้ไปคลอดที่รพ.รัฐที่ค่าใช้จ่ายถูกกว่าแต่ผู้ป่วยไม่ไป เผยจ่ายประกันสังคมไม่ครบ 7 เดือนจึงไม่ได้รับสิทธิ

สธ.แจงรพ.ไม่ได้ปฏิเสธรับผู้ป่วย กรณีหญิงคลอดลูกเองในห้องและทารกตาย ระบุได้แนะนำให้ไปคลอดที่รพ.รัฐที่ค่าใช้จ่ายถูกกว่าแต่ผู้ป่วยไม่ไป เผยจ่ายประกันสังคมไม่ครบ 7 เดือนจึงไม่ได้รับสิทธิ

เมื่อวันที่ 14 ต.ค. นพ.สุรเดช วลีอิทธิกุล รองเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กล่าวชี้แจงถึงกรณีที่นายบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ นักแสดงและอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญูระบุว่าหญิงวัย 35 ปีได้คลอดลูกเองภายในห้องพักและทารกได้เสียชีวิต เนื่องจากโรงพยาบาลต้นสังกัดตามสิทธิประกันสังคมไม่ยอมรับทำคลอด

นพ.สุรเดชกล่าวว่า หญิงคนดังกล่าวได้เข้าตรวจรักษาที่โรงพยาบาลเอกชน แต่ไม่ได้ยืนยันกับแพทย์ว่าตั้งครรภ์ โดยระบุเพียงว่าขาดประจำเดือนมา 2 เดือน อย่างไรก็ตามแพทย์สงสัยว่าตั้งครรภ์ จึงได้ส่งตรวจอัลตราซาวด์ และพบว่าตั้งครรภ์ ทางโรงพยาบาลได้แนะนำสิทธิ์ว่าหากคลอดในโรงพยาบาลรัฐจะมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าและมีประวัติคลอดที่โรงพยาบาลราชวิถี จึงแนะนำให้ไปคลอดที่โรงพยาบาลราชวิถีแทน

นอกจากนี้ ยังพบว่าหญิงคนดังกล่าว จ่ายเงินสมทบประกันสังคมเพียง 4 เดือน ซึ่งไม่ครบ 7 เดือน ตามที่ประกันสังคมกำหนดที่จะเข้าข่ายได้รับสิทธิเรื่องการคลอดโดยหญิงคนดังกล่าวทราบสิทธิการคลอดดี

นพ.สุรเดช กล่าวว่า ผู้ประกันตน มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือกรณีคลอดบุตร เมื่อได้จ่ายเงินสมทบ 7 เดือน โดยสามารถไปตรวจหรือคลอดที่โรงพยาบาลใดๆ ได้ทั้งรัฐและเอกชน นอกจากนี้ ยังได้รับสิทธิในการคลอด 2 ท้องต่อผู้ประกันตน 1 คน โดยกรณีสามีเป็นผู้ประกันตนมีสิทธิเบิกได้ 2 ท้อง และหากภรรยาเป็นผู้ประกันตนก็มีสิทธิเบิกได้อีก 2 ท้อง

ด้าน นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ทางมูลนิธิกู้ชีพ ได้นำศพทารกมาที่โรงพยาบาลราชวิถี เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 13 ต.ค. เพื่อขอให้โรงพยาบาลช่วยตรวจชันสูตรศพทารกที่เสียชีวิตและแม่หลังคลอด เพราะอาจจะเป็นคดีเนื่องจากเป็นการคลอดเองที่บ้านและเด็กเสียชีวิต โดยเจ้าหน้าที่ที่ห้องฉุกเฉินประจำโรงพยาบาลราชวิถี ได้ซักประวัติทราบว่าหญิงรายนี้ตั้งครรภ์ลูกคนที่ 4 เจ็บครรภ์จะไปคลอดที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง แต่ได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลว่าต้องเสียค่าใช้จ่าย ผู้ป่วยมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายแพทย์เวรจึงได้แนะนำให้ไปคลอดโรงพยาบาลของรัฐ แต่ผู้ป่วยไม่ได้ไป

ทั้งนี้ จากการตรวจร่างกาย พบว่าสัญญาณชีพปกติดี ทั้งความดันโลหิต ชีพจร และการหายใจ ซึ่งจัดอยู่ในระยะฟื้นตัวของการคลอดทั่วไป ทั้งนี้ เนื่องจากโรงพยาบาลราชวิถีไม่มีแพทย์นิติเวชประจำโรงพยาบาล จึงได้แนะนำให้มูลนิธิกู้ชีพนำศพทารกไปชันสูตรที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งมีแผนกชันสูตร มีแพทย์นิติเวช และอยู่ไม่ห่างจากโรงพยาบาลราชวิถี

ขณะที่ นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงศ์ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า จะตั้งคณะกรรมการลงไปตรวจสอบโรงพยาบาลเอกชนดังกล่าว รวมถึงเรื่องเวชระเบียน เนื่องจากหากเป็นการคลอดปกติจะไม่ถือว่าฉุกเฉิน แต่หากเป็นกรณีฉุกเฉิน ปากมดลูกเปิดมาก โรงพยาบาลไม่สามารถปฏิเสธการรักษาได้ตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล

ก่อนหน้านี้นายบิณฑ์ ระบุถึงเหตุการณืที่เกิดขึ้นว่า หญิงรายนี้มีอาการน้ำเดินเมื่อเวลา 6.00 น. วันที่ 13 ต.ค.จึงรีบไปโรงพยาบาลที่ลงทะเบียนประกันสังคมไว้แต่แพทย์ของดรงพยาบาลได้ตรวจครรภ์แล้วแจ้งว่า สิทธิประกันสังคมไม่ครอบคลุมการคลอด หากต้องการคลอดที่โรงพยาบาลจะต้องจ่ายเงิน 1.5-1.8 หมื่นบาท แม่ของเด็กไม่มีเงินจ่ายจึงเดินทางกลับบ้าน

เมื่อกลับมาถึงห้องพักได้มีเลือดซึมออกมาทางช่องคลอดกระทั่งเบ่งคลอดเองตามลำพังและทารกเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยหญิงรายนี้ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เพื่อนบ้านจึงแจงมูลนิธิเข้าไปช่วย เจ้าหน้าที่ได้พาหญิงรายนนี้ไปส่งโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง แต่โรงพยาบาลดังกล่าวอ้างว่าเตียงเต็ม จึงพาไปยังโรงพยาบาลแห่งที่สอง ซึ่งโรงพยาบาลแห่งนี้ได้เช็กสิทธิและพบว่ามีประกันสังคมอยู่ที่โรงพยาบาลอื่น จึงให้มูลนิธิกลับไปส่งที่โรงพยาบาลที่ลงทะเบียนไว้ แต่เจ้าหน้าที่มูลนิธิแจ้งว่าถูกโรงพยาบาลประกันสังคมปฏิเสธมาตั้งแต่การรับคลอด โรงพยาบาลรัฐแห่งนี้จึงรับหญิงรายดังกล่าวไว้

ต่อมาสมาชิกเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า Sorarit Kiatfuengfoo ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว โดยระบุว่า "เรื่องที่เกิดขึ้นคิดว่าทุกๆคนคงได้อ่านจากทางฝั่งของคุณบิณฑ์กันมาแล้วเลยอยากจะเล่าเรื่องจากทางอีกฝั่งบ้าง......"

ข้อความระบุว่า หญิงรายดังกล่าวเดินทางมาที่โรงพยาบาลเมื่อเวลา 8.00น.ด้วยอาการเลือดออกทางช่องคลอด ไม่มีอาการอื่นๆร่วมด้วย แพทย์จึงได้ทำการซักประวัติและตรวจร่างกายเบื้องต้นพบว่าหน้าท้องมีขนาดโตขึ้นมาเหนือระดับสะดือพอสมควร แสดงว่าผู้ป่วยตั้งครรภ์มากกว่า 5 เดือนแล้ว แต่ผู้ป่วยให้ประวัติว่าประจำเดือนขาดมา 2 เดือนและผู้ป่วยไม่เคยฝากครรภ์ โดยเป็นการท้องครั้งที่ 4

หลังจากปรึกษาสูติแพทย์แล้ว ได้ทำการตรวจภายในและอัลตราซาวด์พบว่าหัวใจทารกในครรภ์ยังเต้นปกติดีอยู่ ปากมดลูกเปิด 8 เซนติเมตรจึงได้ให้ผู้ป่วยเข้ารับการคลอด

เนื่องจากการใช้สิทธิประกันสังคมเพื่อคลอดนั้นกำหนดไว้ว่าผู้ที่เข้ามารับบริการต้องสำรองเงินจ่ายไปก่อนแล้วมาทำเรื่องเบิกคืนทีหลัง ทางเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจึงได้แจ้งแก่ผู้ป่วยและญาติเรื่องค่าใช้จ่ายแต่ทางผู้ป่วยกับญาติบอกว่าไม่มีเงินจึงขอกลับบ้าน เจ้าหน้าที่จึงบอกให้ญาติพาไปคลอดที่โรงพยาบาลของรัฐใกล้ๆกัน และก่อนที่ผู้ป่วยจะขึ้นแท็กซี่ ออกจากโรงพยาบาล สูติแพทย์เป็นคนไปบอกและกำชับคนขับแท็กซี่ให้ไปส่งที่โรงพยาบาลด้วยตัวเอง

ต่อมาเมื่อเวลา 14.00 น. ญาติผู้ป่วยไปพบห่อผ้าสองห่อในห้องผู้ป่วยโดยห่อนึงเป็นเด็กอีกห่อเป็นรก สอบถามผู้ป่วยจึงได้ความว่าคลอดเองประมาณเที่ยงๆ จึงได้ทำการแจ้งตำรวจเพื่อเป็นหลักฐานเพราะจะนำศพไปเผาที่วัด หลังจากแจ้งความแล้วตำรวจได้โทรเรียกรถร่วมให้ไปรับศพ และก็เป็นข่าวอย่างที่เห็นที่แชร์กัน

ทั้งนี้ญาติผู้ป่วยเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดี และไม่มีปัญหาใดๆกับการดูแลรักษา พร้อมระบุด้วยว่า นี่เป็นอีกครั้งที่แสดงให้เห็นว่าภาครัฐขาดการประชาสัมพันธ์ที่ดีแก่ประชาชน ขนาดเกิดกรณีแบบนี้ขึ้นหลายต่อหลายครั้ง มีโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ หมอ พยาบาล มาให้ข้อมูลก็เยอะแต่ทำไมคนไทยยังไม่เข้าใจเรื่องสิทธิ์ประกันสังคมหรือบัตรทองของตัวเองเลย