posttoday

แจ้งจับเจ้าอาวาสทุบโบราณสถานวัดกัลยามิตรฯ

09 สิงหาคม 2556

ชาวชุมชนวัดกัลยาณ์ แจ้งความจับเจ้าอาวาสวัด กับบริวาร หลังร่วมกันทุบทำลายโบราณสถานในวัดดังย่านฝั่งธนฯ

ชาวชุมชนวัดกัลยาณ์ แจ้งความจับเจ้าอาวาสวัด กับบริวาร หลังร่วมกันทุบทำลายโบราณสถานในวัดดังย่านฝั่งธนฯ

วันที่ 9 สิงหาคม ที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (บก.ปปป.) นายชัยสิทธิ์ กิตติวณิชพันธุ์ ประธานกลุ่มองค์กรชุมชนรักษ์กัลยาณ์ พร้อมด้วย นายสงกรานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และชาวบ้าน 159 คน เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.สมปราชญ์ เภาพงษ์ พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ กก.1 บก.ปปป.เพื่อขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่กรมศิลปากร , สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และพนักงานสอบสวน สน.บุปผาราม ที่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ โดยปล่อยให้เจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร กับบริวาร ดำเนินการทุบทำลายโบราณสถาน และโบราณวัตถุ รวม 27 รายการ จากทั้งหมด 89 รายการ ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนต่อกรมศิลปากรไว้แล้ว โดยนำภาพถ่ายและเอกสารที่เกี่ยวข้องมามอบให้พนักงานสอบสวนไว้ประกอบการพิจารณาดำเนินการ

นายสงกรานต์ กล่าวว่า ที่ผ่านมานับตั้งแต่เจ้าอาวาสรูปนี้เข้ามาดำรงตำแหน่งประมาณปี 2546 ได้มีการรื้อถอนทุบทำลายโบราณสถาน โบราณวัตถุภายในวัดดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง และกระทำการโดยลุแก่อำนาจ แม้ว่าเมื่อปี 2552 ทางชาวบ้านจะเข้าร้องต่อศาลปกครองกลาง จนศาลมีคำสั่งคุ้มครองให้ระงับการแก้ไขเปลี่ยนแปลง รวมทั้งรื้อถอน ต่อเติม ทำลาย เคลื่อนย้ายโบราณสถาน โบราณวัตถุ และศิลปวัตถุภายในบริเวณวัดแห่งนี้ จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา หรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น แต่ทางเจ้าอาวาส กับบริวาร กลับเพิกเฉย สำหรับวัตถุประสงค์ของการรื้อถอนโบราณสถานและโบราณวัตถุต่างๆ นั้น ก็เพื่อสร้างลานจอดรถและกุฏิสงฆ์ ซึ่งไม่สมเหตุผล นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างความเสียหายต่อสมบัติของชาติอีกด้วย

นายสงกรานต์ กล่าวต่อว่า หากทาง บก.ปปป.ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วพบว่ากรณีดังกล่าวเข้าข่ายความผิดก็ขอให้ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการเข้าร้องทุกข์ดังกล่าวแล้ว ทางนายชัยสิทธิ์ และกลุ่มชาวบ้านชุมชนวัดกัลยาณ์ ได้เข้าพบ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป. เพื่อขอให้สืบสวนสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับเจ้าอาวาสวัดดังกล่าว ไวยาวัจกร และผู้ที่เกี่ยวข้องในความผิดฐานลักทรัพย์ทำลายทรัพย์ ที่เป็นการกระทำต่อวัด สำนักสงฆ์ สถานที่ทางศาสนา โบราณสถานอันเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ทวิ วรรค 2 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5-15 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000-30,000 บาท และความผิดตาม พ.ร.บ.โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถาน

นายสงกรานต์ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาชาวบ้านในชุมชนแห่งนี้ได้ทำหนังสือถึงกรมศิลปากรถึง 15 ฉบับ แต่ทางกรมศิลปากร อ้างเพียงว่าได้ดำเนินการโดยแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.บุปผาราม ไว้แล้ว แต่ทางเจ้าหน้าที่ก็ไม่มีการเข้ามาระงับยับยั้งการทุบทำลายโบราณสถาน โบราณวัตถุอันมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ ซึ่งหากปล่อยไว้คงไม่ใช่เพียง 27 รายการ ที่ถูกทำลายไปแล้ว โดยอาจจะมีการทุบทำลายในส่วนที่เหลือ จนหมดทั้ง 89 รายการ เรื่องที่เกิดขึ้นจึงมีข้อเคลือบแคลงสงสัย เพราะทางเจ้าอาวาส ก็ไม่เคยยอมพูดคุยกับชาวบ้าน และเคยบอกเพียงว่าไม่มีใครทำอะไรได้