posttoday

เอาตัวให้รอดในเมืองกรุง ยุค ‘อยู่ยาก’

11 มิถุนายน 2556

เวลาอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ยามเช้า หลายคนคงส่ายหัว เพราะล้วนเต็มไปด้วย “ข่าวร้าย”

โดย...อินทรชัย พาณิชกุล ภาพ คลังภาพโพสต์ทูเดย์

เวลาอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ยามเช้า หลายคนคงส่ายหัว เพราะล้วนเต็มไปด้วย “ข่าวร้าย”

นานาปัญหาอาชญากรรมสั่นสะเทือนสังคม เต็มไปด้วยเรื่องราวบั่นทอนจิตใจ ชวนให้เกิดความรู้สึกหวาดประหวั่นพรั่นพรึง ทั้งฉกชิงวิ่งราว ปล้นจี้ ทะเลาะวิวาทฆ่ากันตาย เลือดท่วมน่าสยดสยอง ทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่าบ้านเมืองเราวันนี้ยิ่งอยู่ยากขึ้นทุกวัน

“กรุงเทพฯ เป็นเมืองน่าเที่ยว แต่ไม่น่าอยู่ค่ะ”

เป็นประโยคแทงใจดำของ จ๋า ครีเอทีฟสาววัย 30 ของบริษัทโฆษณาชื่อดังแห่งหนึ่ง เธอเอ่ยขึ้นขณะกางหนังสือพิมพ์อ่านข่าวกรอบเล็กๆ ที่รายงานว่ากรุงเทพมหานครได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองน่าเที่ยวอันดับหนึ่งของโลก ประจำปี 2556 จากทั้งหมด 132 ประเทศ สำรวจโดยบริษัท มาสเตอร์การ์ด เวิลด์ไวด์

ข่าวเล็กๆ น่ายินดีข่าวนี้ เกิดขึ้นในช่วงเดียวกับข่าวนักเรียนช่างกลยิงกันตาย ระเบิดกลางกรุง ฆ่าชิงทรัพย์พริตตีสาว โจรปล้นร้านทองอย่างอุกอาจกลางห้าง หนุ่มโรคจิตสำเร็จความใคร่บนรถไฟฟ้าบีทีเอส และอื่นๆ อีกมากมาย

ในฐานะชาวกรุงโดยกำเนิด อยู่อาศัย กระทั่งหวังให้เมืองนี้เป็นเรือนตายในอนาคต จ๋ายืนยันว่าพกสเปรย์พริกไทยไว้ในกระเป๋าสะพายมาเกือบปีแล้ว ทั้งยังสนับสนุนให้หญิงสาวคนอื่น “พึ่งตนเอง” ไม่ว่าวิธีใดก็ตาม ด้วยเหตุผลสั้นๆ ว่าเมืองกรุง พ.ศ.นี้ ไว้ใจใครหน้าไหนไม่ได้ทั้งนั้น

“ดูแต่ละข่าวสิ (เธอหมายถึงข่าวฆ่าชิงทรัพย์พริตตีสาวที่กำลังสร้างความสั่นสะเทือนอยู่ในขณะนี้) เดี๋ยวนี้อันตรายอยู่ใกล้ตัวจริงๆ เหตุการณ์ปล้น ฆ่า ข่มขืนเกิดขึ้นแทบทุกวัน แต่เราว่าสถานการณ์หรือวิธีการของคนร้ายมันโหดเหี้ยม และเกิดขึ้นในที่ที่ใกล้ตัวเรามากๆ ...ใกล้มากจนน่ากลัว ในห้าง ในที่จอดรถ มียาม มีคนพลุกพล่านยังเกิดเรื่องได้

สมัยก่อน ผู้หลักผู้ใหญ่สอนว่าอย่าแต่งตัวโป๊ วับๆ แวมๆ เดินคนเดียวในที่เปลี่ยวกลางค่ำกลางคืน ยุคนี้ไม่ต้องค่ะ กลางวันแสกๆ คนเยอะๆ บนรถไฟฟ้าบีทีเอสมันก็ยังทำกันได้ (เธอพูดถึงข่าวหนุ่มโรคจิตสำเร็จความใคร่บนรถไฟฟ้าบีทีเอส) ถ้าอยู่สองต่อสองมันคงข่มขืนแน่

สเปรย์พริกไทยขวดนี้ (เธอควักให้ดูของจริง) ญาติซื้อมาฝากจากเมืองนอก ขวดละไม่กี่ตังค์ พกมาได้ปีนึงแล้ว เพราะตอนนั้นญาติดูข่าวแท็กซี่ข่มขืนผู้โดยสารแล้วกลัว เลยกำชับให้เราพกติดตัวไว้ ยังไม่เคยใช้ แต่ภาวนาชาตินี้อย่าขอให้ได้ใช้เลย”

ทั้งนี้ทั้งนั้น หารู้ไม่ว่าเจ้าอุปกรณ์สเปรย์พริกไทยนี้ถือเป็นวัตถุอันตราย ใครมีไว้ในครอบครองถือว่าผิดกฎหมาย มีโทษสูงสุดจำคุกเป็นเวลา 10 ปี ปรับถึง 1 ล้านบาท!!!

“โอ๊ย แค่สเปรย์พริกไทย ประสิทธิภาพมันแค่ทำให้แสบ ระคายเคืองตา ช่วยถ่วงเวลาให้เราหนีได้ ไม่ถึงกับตายหรอก ถ้าเกิดเรื่องจริงๆ หนูนี่แหละจะตาย ทุกวันนี้ผู้หญิงอย่างเราก็ตกเป็นเป้าเสี่ยงอยู่แล้ว ใครมีอะไรที่ไว้สำหรับป้องกันตัวได้ พกไว้ไม่เสียหายค่ะ สเปรย์พริกไทย มีดพับ ไม่ต้องถึงขนาดพกปืนหรอก โดยปกติผู้หญิงไม่นิยมพกปืนกันอยู่แล้ว” เป็นความเห็นของ อุ๋ม นักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดังย่านดินแดง

คำกล่าวของเธอสอดรับกับที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขได้รับหนังสือจากประชาชน เสนอให้แก้ไขผ่อนปรนกฎหมายในการควบคุมสเปรย์ป้องกันตัว โดยให้เหตุผลว่าเป็นอุปกรณ์ป้องกันตัวช่วยให้ผู้หญิงพกพา เพื่อป้องกันสวัสดิภาพของตัวเองได้ เนื่องจากปัจจุบันหาง่าย ราคาไม่แพงมาก พกพาสะดวก

แต่กระนั้นข้อกฎหมายนี้ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขแต่อย่างใด

ใช่ว่าอันตรายจะเกิดขึ้นแต่นอกบ้าน แม้ยามอยู่บ้าน หลายคนก็ยังวิตกกังวล หวาดกลัวขโมยขโจรจนต้องหาสารพัดวิธีมาป้องกันชีวิตและทรัพย์สินตัวเอง ตั้งแต่จ้างยามรักษาความปลอดภัย จนถึงติดตั้งกล้องวงจรปิด

“ที่บ้านติด 3 ตัว ดูถนนนอกบ้าน บริเวณที่จอดรถและสนามหญ้าในบ้าน หลังบ้าน แล้วก็ประตูทางเข้าภายในบ้านฉายไปถึงห้องโถงรับแขก รวมแล้วเป็นหมื่นอยู่เหมือนกัน” พินิจ เสี่ยเจ้าของธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง เล่าให้ฟังเสียงเครียด

เขาบอกว่า แถวนี้แต่ก่อนปลอดภัยไร้กังวล เป็นย่านอยู่อาศัยของคนฐานะค่อนข้างดี ชุมชนเล็กๆ เงียบสงบ ไม่เคยเกิดเหตุร้ายแรงเลย แม้ไม่มีป้อมยามก็ตามที

“แต่เมื่อต้นปี บ้านหลังหนึ่งซอยข้างๆ ถูกโจรขึ้นบ้าน มัดคนรับใช้ มัดเจ้าของบ้าน ลูกเมีย เอาพวกเครื่องทองเครื่องเพชรไปได้หลายแสน ไม่ออกข่าวนะ ยอมรับตรงๆ กลัว จากที่ลังเลอยู่แล้วว่าจะติดดีไหม เพื่อนบอกมึงจะติดไปทำไมเปลืองตังค์เปล่าๆ พอเจอเคสนี้ติดดีกว่า อุ่นใจ (หัวเราะ) ถือซะว่าลงทุนซื้อความเสี่ยง เผื่อมันเห็นกล้องมันจะได้กลัว ไม่กล้ายุ่ง”

เรื่องนี้สอดคล้องกับการสำรวจวิจัยของ ไตรภพ ขันตยาภรณ์ ผู้อำนวยการกองพัฒนาระบบจราจร สำนักการจราจรและขนส่ง กรุงเทพมหานคร หลังจากปัจจุบันมีการติดตั้งกล้องซีซีทีวีไปทั้งสิ้นกว่า 2 หมื่นตัว จากเป้าที่วางไว้ 5 หมื่นตัว ตามสถานที่สำคัญ สี่แยก สะพานลอย ตรอกซอกซอยที่เป็นจุดเสี่ยงต่างๆ ทั่วกรุง ยังไม่พูดถึงกล้องที่ติดโดยเอกชนที่รวมแล้วนับแสนตัว พบว่าเสียงตอบรับของประชาชนมีความพึงพอใจมากขึ้น

“ประชาชนอุ่นใจครับ ทุกคนมองว่าการอยู่ในสังคมหมู่มาก ไม่รู้ใครเป็นใคร จะเกิดเหตุอะไรขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ การติดกล้องซีซีทีวีมีส่วนช่วยให้สถิติรถหายลดลง เมื่อเกิดเหตุขึ้นไม่ว่าเล็กๆ อย่างรถเฉี่ยวชน คนหาย จนถึงทะเลาะวิวาทฆ่ากันตาย หรือระเบิด ตำรวจทำคดีง่ายขึ้นในการติดตามจับกุมคนร้าย และกล้องซีซีทีวีถือเป็นหลักฐานในชั้นศาลที่น่าเชื่อถือมากที่สุดด้วย”

มาฟังมุมมองของ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร กันบ้าง

“อาชญากรมันก็เหมือนพ่อค้า มีพัฒนาการ เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย เดี๋ยวนี้มีหมด โจรในสูท โจรในเครื่องแบบ โจรในอินเทอร์เน็ต ประชาชนต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น ทุกคนต้องช่วยตัวเอง บอกตรงๆ ทุกวันนี้ค้นรถทุกคัน คุณเชื่อผมสิว่ากว่า 50% ต้องมีปืน ไม่ได้พกไว้ไปปล้นเขานะครับ พกไว้ป้องกันตัวเองทั้งนั้น ยังไม่ต้องพูดเรื่องปืนเถื่อน หรือปืนถูกกฎหมายนะครับ

คำแนะนำของผม วิธีเอาตัวรอดจากภัยสังคมในเมืองกรุง หนึ่ง คุณต้องรู้กฎหมายขั้นพื้นฐาน ศึกษาไว้เลย เพื่อพึ่งพาตัวเอง เช่น อยู่บ้านอยู่คอนโดคนเดียว ตกกลางคืนมีชายฉกรรจ์มาเคาะประตู สวมเสื้อแจ็กเกตเขียนคำเดียวว่า POLICE ต้องขอดูว่ามีบัตรไหม มีหมายค้นไหม มาบ้านเรายามวิกาลแบบนี้ หรือไปเจอด่านตรวจเถื่อน เจอขอค้นในที่มืดๆ เปลี่ยวๆ จะรู้ได้ไงเป็นตำรวจจริงหรือเป็นโจร

สอง เวลาแจ้งตำรวจ สมาร์ตโฟนในมือต้องรู้ไว้เลยว่าต้องถ่ายรูปยังไง มุมไหน หากเกิดเหตุถูกทำร้าย ถูกปล้นจี้ ขโมยขึ้นบ้าน เผื่อใช้เป็นหลักฐานตอนขึ้นโรงพักไปแจ้งความ หรือตอนยกหูโทรแจ้ง 191 ต้องแจ้งรายละเอียดอะไรบ้าง ในตอนที่เราตกใจ สติสตังไม่มี จำไว้ครับ เราต้องพึ่งตัวเองก่อนดีที่สุด”

ในวันที่สังคมอยู่ยาก ไม่ได้หมายความว่าประชาชนจะต้องยอมแพ้ อพยพย้ายหนีไปอยู่ที่อื่น แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่เราจะเตรียมพร้อมรับมือ ป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของตัวเองอย่างไรให้รอดพ้นจากเงื้อมมือภัยคุกคามที่คืบคลานมาใกล้ชนิดหายใจรดต้นคอ!!!

ลึกแต่ไม่ลับกับสายแจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย 191

รายละเอียดข้อมูลของเหตุการณ์มีความสำคัญมาก มันมีผลอย่างยิ่งต่อการนำไปสู่การจับกุมคนร้ายอย่างรวดเร็ว

การโทรแจ้ง 191 ในเบื้องต้น รายละเอียดสถานที่ และรูปพรรณสัณฐานนั้นต้องครบถ้วน ถ้าเป็นกรณีเหตุอาชญากรรมก็ต้องจำให้ได้ว่าคนร้ายแต่งกายยังไง ใช้ยานพาหนะอะไร มีจำนวนกี่คน มีอาวุธไหม สถานที่เกิดเหตุอยู่ตรงไหน แต่ถ้าเกิดเป็นกรณีไฟไหม้ก็ต้องบอกว่าเกิดเหตุที่ไหน มีผู้บาดเจ็บไหม

ไม่เกิน 1 นาทีหลังจากผู้แจ้งเหตุวางสาย ข้อมูลทั้งหมดจะถูกส่งไปยังฝ่ายวิทยุเพื่อแจ้งไปยังสายตรวจให้เรียบร้อย และสายตรวจจะต้องไปถึงที่เกิดเหตุภายใน 10 นาที ถ้าถึงแล้ว สายตรวจก็ต้องแจ้งกลับมายังกอง บก.เช่นกัน

สายตรวจจะแยกเป็น 2 ส่วนคือ สายตรวจ 191 กับสายตรวจของ สน.ท้องที่ รถยนต์สายตรวจ 191 ภายในจะมีอุปกรณ์ไฮเทคกว่า เช่น จอแผนที่ GPS ระบบโทรศัพท์ต่อตรงจากสัญญาณดาวเทียม ขีดความเร็วของเครื่องยนต์ก็สูงกว่า แต่เนื่องจากสภาพการจราจรที่ติดขัดของกรุงเทพฯ ความคล่องตัวจึงมีน้อยกว่ารถสายตรวจของ สน.ท้องที่ ซึ่งเป็นรถจักรยานยนต์กว่า 90%

ผู้หญิงจอดรถให้ปลอดภัยในห้าง

หลังเกิดเหตุฆ่าชิงทรัพย์พริตตีสาวบริเวณลานจอดรถของห้างดังแห่งย่านบางกะปิที่กำลังถูกพูดถึงมาก ชาวโซเชียลเน็ตเวิร์กพากันเผยแพร่คำแนะนำวิธีจอดรถอย่างปลอดภัยสำหรับผู้หญิง มาอ่านกัน...

สำรวจสถานที่ สาวๆ ที่ต้องใช้บริการลานจอดรถห้างในช่วงกลางคืน หากไม่คุ้นเคยกับสถานที่ดังกล่าว ควรขับรถวนดูสัก 1 รอบ เพื่อสำรวจว่าลานจอดแห่งนี้มีทางออกในจุดใดบ้าง ระวังจอดในมุมอับ เสาต้นใหญ่ หรือแม้กระทั่งที่ว่างด้านหลังรถ ที่คนร้ายสามารถใช้เป็นจุดซ่อนตัวได้ หมั่นสังเกตสิ่งรอบตัวอยู่เสมอ

เลือกจุดจอดรถ เน้นบริเวณที่มีไฟส่องสว่าง ถ้าจะให้ดีควรอยู่ใกล้กับบันได ทางเดินเข้าห้าง หรือทางไปลิฟต์ หลีกเลี่ยงการจอดรถในชั้นที่ไม่ค่อยมีคนใช้

ห้ามประมาท มองไปรอบๆ อย่างถี่ถ้วนก่อนลงจากรถ อย่าลืมดึงกุญแจออกและล็อกรถให้เรียบร้อย จากนั้นให้เดินตรงไปที่ประตูทางออกหรือลิฟต์อย่างรวดเร็ว หลีกเลี่ยงการพูดคุยโทรศัพท์ หรือการแชต ระหว่างเดินในบริเวณลานจอดรถ

เตรียมพร้อมเสมอ เมื่อทำธุระเสร็จแล้ว ควรเตรียมกุญแจให้พร้อมก่อนถึงตัวรถ อย่ามัวแต่ควานหากุญแจในกระเป๋า เพราะอาจตกเป็นเป้าหมายของโจรได้ เมื่อเดินมาถึงที่จอดรถแล้ว ให้มองสำรวจเข้าไปในตัวรถ โดยเฉพาะบริเวณเบาะหลังคนขับว่ามีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่

ล็อกประตูรถทันที หลังจากขึ้นรถแล้ว ล็อกประตูและขับรถออกจากบริเวณดังกล่าวให้เร็วที่สุด อย่านั่งแช่ในรถเพื่อทำกิจกรรมอย่างอื่น เช่น การจัดของ เพราะถึงจะมีการล็อกประตูรถไว้แน่นหนา แต่คนร้ายอาจมีอุปกรณ์ในการงัดแงะรถ หรือใช้วิธีอื่นๆ ทำร้ายเราได้