posttoday

เปิดกล้อง-กางแผนที่ตามจับทิ้งศพเด็กในวัดบวรฯ

17 มกราคม 2556

ขณะที่สามเณรและพระลูกวัดภายในวัดบวรนิเวศวิหาร ย่านบางลำพู กำลังทำกิจวัตรภายหลังฉันเช้าในวันที่ 4 ม.ค. 2556

โดย...กันติพิชญ์ ใจบุญ

ขณะที่สามเณรและพระลูกวัดภายในวัดบวรนิเวศวิหาร ย่านบางลำพู กำลังทำกิจวัตรภายหลังฉันเช้าในวันที่ 4 ม.ค. 2556 คล้อยหลังปีใหม่ไปไม่กี่วันนัก กำลังเก็บกวาดทำความสะอาดใบไม้ขยะภายในวัด แต่ต้องผงะเมื่อนำขยะไปทิ้งยังถังขยะข้างศาลา 100 ปี เพราะสิ่งที่เหล่าสามเณรเห็น คือ ซากศพเด็กทารก ที่ตัวเริ่มเขียวคล้ำ สภาพศพถูกห่อด้วยถุงพลาสติกปะปนกับขยะ เหตุการณ์นี้ตอกย้ำความน่าสมเพชของเมืองกรุงอีกคำรบ

ใครกันที่ฆ่าเด็กที่เพิ่งเกิด และสาเหตุใดจึงต้องกระทำการที่สร้างความสะเทือนใจให้กับชาวพุทธ หนำซ้ำยังนำซากศพเด็กไปทิ้งไว้ภายในวัดดังของเมืองกรุงอีกด้วย ชุดสืบสวนของ สน.ชนะสงคราม เจ้าของท้องที่เกิดเหตุ ออกปฏิบัติการตามล่าคนร้ายทันทีภายหลังรับแจ้งเหตุจากทางวัด

พ.ต.ท.ปิติพันธ์ กฤดากร ณ อยุธยา สารวัตรสืบสวนสอบสวน (สว.สส.) สน.ชนะสงคราม รุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบว่าซากทารกเป็นเพศชาย เพิ่งคลอดมาได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น ที่สำคัญชุดสืบสวนพบหลักฐานเด็ดที่อาจจะนำไปสู่ตัวคนร้ายได้แน่นอน

พ.ต.ท.ปิติพันธ์ เล่าถึงคดีดังกล่าวกระทั่งนำไปสู่การจับกุมคนร้ายว่า

“เราเริ่มเข้าไปตรวจสอบภายในวัด สอบสวนลูกวัดในช่วงเวลาที่เกิดเหตุ คือ น่าจะเป็นเวลาเช้ามืดของวันที่ 4 ม.ค. และหลักฐานสำคัญที่เราไปพบ คือ ภาพจากกล้องวงจรปิดที่ติดไว้ข้างศาลา 100 ปีพอดี ภาพบอกเราได้ชัดเจนว่าช่วงเวลาประมาณ 06.00 น. ขณะที่พระลูกวัดออกบิณฑบาตอยู่ เราพบผู้หญิงอายุน่าจะราว 35-40 ปี ผมยาว ใส่กางเกงยีนส์ และสวมเสื้อคลุมสีเขียวคาดขาว ถือถุงพลาสติกสีเขียวผ่านกล้องมุ่งหน้าไปที่ถังขยะ และเดินออกมาหลังจากนั้นราว 10 นาที ขณะที่มือของหญิงคนนี้ไม่มีถุงพลาสติกออกมาด้วย”

จากการตรวจหลักฐาน พบว่าซากเด็กทารกถูกห่อไว้ในถุงพลาสติกสีเขียว ซึ่งเป็นถุงเดียวกันกับที่ผู้หญิงที่ภาพบันทึกไว้ได้แน่นอน พ.ต.ท.ปิติพันธ์ จึงออกตามหาหญิงคนนี้ที่น่าจะเป็นจิ๊กซอว์ตัวสำคัญของคดีนี้

แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าจะไปตามหญิงคนนี้มาจากไหน สารวัตรปิติพันธ์ กางแผนที่ออก และสันนิษฐานพร้อมกับปรึกษาตำรวจชุดสืบสวน ลงความเห็นตรงกันว่า หญิงคนนี้น่าจะอยู่ในละแวกวัดบวรฯ ย่านบางลำพูแน่นอน เพราะคิดเอาง่ายๆ ไว้ก่อนว่า หากต้องการทิ้งซากศพเด็ก คงไม่มีใครกล้าหอบหิ้วซากมาจากที่ไกลๆ แน่นอน

และคนที่เห็นในภาพ ก็น่าจะอยู่ในละแวกนี้แน่นอน ตำรวจจึงนำภาพจากกล้องวงจรปิดออกตระเวนตามหาทันที กระทั่งไปได้เบาะแสจากแม่ค้าคนหนึ่ง บอกกับตำรวจว่า คนที่อยู่ในภาพน่าจะชื่อ “พี” หรือ สุพี จันกลาง อาชีพรับจ้างขายเสื้อผ้าตามย่านข้าวสาร และพักอาศัยอยู่ที่บ้านเช่าไม่มีเลขทีตรงข้ามวัดบวรนิเวศ ถนนพระสุเมรุ เขตพระนคร ซึ่งอยู่ใกล้กับสถานที่ทิ้งซากศพ ตำรวจจึงตามไปเอาตัวมาสอบสวนทันที

สารวัตรปิติพันธ์ บอกอีกว่า เมื่อเขาเห็นเราก็ตกใจเลยและร้องไห้ ตำรวจก็คิดว่าใช่แน่ๆ แล้ว จึงให้ตำรวจหญิงเข้าร่วมสอบปากคำด้วย และเธอสารภาพหมดสิ้นทันที เธออ้างว่าตัวเองเป็นคนรักสนุก ใจง่าย แม้จะอายุ 40 ปีแล้ว แต่ก็ยังชอบกินเหล้าเป็นประจำ และมีความสัมพันธ์กับชายหนุ่มไม่เลือกหน้า กระทั่งเธอท้องและไม่รู้ว่าใครคือพ่อของเด็กในท้องด้วยซ้ำ แบกอุ้มท้องครบกำหนดคลอด แต่ตัวเองก็ไม่ได้ไปหาหมอ ทำคลอดด้วยตัวเอง ตัดสายรกเองด้วย

“คลอดออกมาก็เอาหน้าเด็กคว่ำลง อันนี้ผู้ต้องหายืนยัน และบอกว่าตัวเองหมดสติไปทันที ตื่นมาก็พบว่าเด็กตายแล้ว เราก็คิดว่าเอาแล้วสิ การเอาเด็กทารกเพิ่งคลอดคว่ำหน้า ก็มีแต่ตายอย่างเดียวเท่านั้น เพราะเด็กช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พลิกตัวไม่ได้ คว่ำหน้าก็หายใจไม่ออก ประกอบกับสุพี ผู้ต้องหาเคยมีลูกมาแล้ว 2 คน จะไม่รู้เชียวหรือว่าเด็กเพิ่งคลอดต้องปฏิบัติอย่างไร แต่เขายังอ้างว่าไม่ได้ตั้งใจทำให้ตาย เพราะหากทำคงไปทำแท้งตั้งนานแล้ว และที่เอาไปทิ้งเพราะไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ตำรวจคงเชื่อไม่ได้ ก็ถือเป็นคำให้การของเขาเอง เราก็ต้องดำเนินคดีข้อหาฆ่าคนตาย และเจตนาซ่อนเร้นย้ายศพเพื่อปิดบังการเกิด การตาย หรือสาเหตุแห่งการตาย” พ.ต.ท.ปิติพันธ์ เล่า

ปิดฉากคดีที่สะเทือนจิตใจสังคมไทยพอสมควรไปอีกหนึ่งคดี และหวังให้เป็นคดีสุดท้าย