posttoday

ขันนอตสีกากี ลบรอยด่าง ‘ตำรวจโจร’

23 ตุลาคม 2555

จะให้ชาวบ้านตาดำๆ นอนหลับได้อย่างไร หากตำรวจผู้พิทักษ์สันติราษฎร์กลับกลายพันธุ์ก่อเหตุเยี่ยงโจรเสียเอง

โดย...ธนก บังผล

จะให้ชาวบ้านตาดำๆ นอนหลับได้อย่างไร หากตำรวจผู้พิทักษ์สันติราษฎร์กลับกลายพันธุ์ก่อเหตุเยี่ยงโจรเสียเอง

โดยเฉพาะในช่วงที่ยาเสพติดระบาดอย่างหนัก ตำรวจนอกลู่บางนายอาศัยอำนาจหน้าที่เข้าไปพัวพันในขบวนการค้ายา แต่นั่นยังไม่หนักเท่าเข้าไปข่มขู่แอบอ้างหน่วยงานปราบปรามเพื่อทำการรีดไถทรัพย์สินอย่างผิดกฎหมาย

ซึ่งเรื่องนี้เคยเกิดขึ้นแล้วกับผู้กองคนดังแห่งกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดน (บก.ตชด.) คนหนึ่งในภาคใต้

แม้จะมีตำรวจเพียงไม่กี่คนที่ประพฤติชั่ว แต่ก็ได้ทำให้วงการสีกากีต้องพลอยเสื่อมเสียอย่างมากมายหลายครั้ง

พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) รับผิดชอบด้านกฎหมาย ด้านคดีและสืบสวนสอบสวน กล่าวถึงคดีที่มีกลุ่มคนบุกเข้าไปในบ้านของสามีภรรยาคู่หนึ่ง ซึ่งอยู่ที่หมู่บ้านร่วมทางฝัน ถนนเลียบคลองสอง ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี เมื่อค่ำวันที่ 8 ต.ค.ที่ผ่านมา

ซึ่งกลุ่มผู้ก่อเหตุอ้างว่าเป็นตำรวจปราบยาเสพติด ก่อนจะจับสามีภรรยามัดมือไพล่หลังและปิดตาแล้วกวาดทรัพย์สินในบ้านได้เงินสด 2 แสนบาท ไอโฟน 4 เครื่อง นาฬิกาข้อมือ 4 เรือน ปืนพกสั้น 1 กระบอก รถยนต์และจักรยานยนต์ รวมมูลค่ากว่า 2 ล้านบาท

ขันนอตสีกากี ลบรอยด่าง ‘ตำรวจโจร’

 

แน่นอนว่า ตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. ของ พล.ต.อ.เอก ด้านการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมในภาคกลาง 24 จังหวัด ครอบคลุมพื้นที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1, 2 และ 7 โดยคดีนี้เกิดขึ้นในพื้นที่ บช.ภ.1 ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง ทำให้ได้รับข้อมูลเชิงลึกในการติดตามคนร้ายจนนำมาสู่การจับกุมได้ภายในเวลาเพียง 5 วัน

“คดีนี้เป็นคดีที่ตำรวจเข้าไปร่วมกระทำความผิดกับคนร้าย อุ้มคนไปปล้นทรัพย์ พฤติการณ์ของคดีคือเข้าไปขอตรวจค้นบ้านแล้วบอกว่าเป็นตำรวจจากกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) มีผู้บังคับบัญชาสั่งมา แล้วให้คนในนั้นเรียกตัวเองว่าท่านรอง ก่อนจะเอาตัวผู้เสียหายไปแล้วบังคับให้กดเอทีเอ็ม เอาทรัพย์สินแล้วก็หลบหนีไป”

พล.ต.อ.เอก เล่าเบื้องลึกของคดีนี้ว่า ตำรวจได้สืบสวนต่อมา พบว่าผู้เสียหายรายนี้เป็นผู้ค้ายาเสพติดจริง

“ครั้งแรกที่ผู้เสียหายมาแจ้งความก็ปิดๆ บังๆ หลบๆ ซ่อนๆ เพราะกลัวว่าตัวเองจะต้องรับผิดไปด้วย พอไปค้นบ้านที่เกิดเหตุก็พบยาเสพติด ผู้เสียหายทั้งสองคนก็เลยถูกจับเป็นผู้ต้องหาฐานครอบครองยาเสพติดไว้เพื่อจำหน่าย พอซักถามไปก็ยอมรับว่าค้ายาเสพติดจริง แล้วกลุ่มคนที่ก่อเหตุพวกนี้เข้ามาแบล็กเมล์อีกที”

เมื่อได้ข้อมูลนี้แล้ว ตำรวจก็ได้ทำการขยายผลสืบสวนจนรู้ว่าคนร้ายในแก๊งนี้มีทั้งหมด 5 คน และ 1 ใน 5 นั้นก็เป็นตำรวจ คือ ร.ต.อ.ธีรรัตน์ สุวรรณวาสน์ รอง สวป.สน.บางยี่ขัน อายุ 38 ปี ซึ่งเป็นอดีตตำรวจที่เคยอยู่ บช.ปส.

“พฤติกรรมของคนร้ายก็ลักษณะคล้ายกับผู้กองณัฐสมัยก่อน ก็คือมีข้อมูลรู้ว่าผู้เสียหายรายใดมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ก็จะเข้าไปขอตรวจค้นรีดไถเอาเงินเพื่อจะไม่ให้จับกุมทำนองนี้ ซึ่งได้กระทำความผิดหลายพื้นที่ เท่าที่ตรวจสอบได้คือ พื้นที่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี” พล.ต.อ.เอก เล่าให้ฟัง

ซึ่งระหว่างที่สืบสวนนั้น พล.ต.ต.คัชชา ธาตุศาสตร์ ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.ชลบุรี ได้โทรศัพท์มาให้ข้อมูลกับ พล.ต.อ.เอก และทำการประสาน พล.ต.ท.นเรศ นันทโชติ ผบช.ภ.1 เข้ามาดูแลคดี

ด้วยการทำงานแบบบูรณาการของทั้งสองแห่ง ไม่นานก็สามารถตามจับกุมคนร้ายได้ยกแก๊ง

“อย่างในกรณีตำรวจคดีนี้ แน่นอน ต้องถูกลงโทษให้ออกจากราชการไว้ก่อน ผมว่าโทษสุดท้ายในคดีอาญาต้องโดนไล่ออกจากราชการแน่นอน ตรงนี้คร่าวๆ ได้ทราบว่า ร.ต.อ.ธีรรัตน์ เคยต้องคดีมาแล้ว แต่ภายหลังคดีหลุด พนักงานสอบสวนฟ้อง อัยการสั่งไม่ฟ้อง ผมกำลังตรวจสอบอยู่ว่ามันเป็นอะไร อย่างไร”

กับการที่ตำรวจหันมาเป็นโจรเสียเองนั้น พล.ต.อ.เอก ให้ความเห็นว่า ผู้บังคับบัญชาทุกระดับได้เน้นย้ำมาตลอด มีแนวทางการปฏิบัติทั้งหมด ประมวลจริยธรรม ผู้บังคับบัญชาต้องไปเข้มงวดกวดขัน แต่ก็ยังมีแกะดำอยู่บ้าง

“เป็นเรื่องที่อาจจะต้องมีมาตรการเชิงป้องกันมากกว่านี้ ผู้บังคับบัญชาต้องสอดส่องมากกว่านี้ หรือแม้กระทั่งผู้บังคับบัญชาอาจจะต้องถูกลงโทษให้ชัดเจนมากกว่านี้ คำสั่ง ตร.ที่ 1212 เพิ่มไว้ว่า ถ้ารองสารวัตรทำผิด สารวัตรต้องรับผิดชอบด้วย ต้องถูกลงโทษด้วย ถ้าสารวัตรทำผิด รองผู้กำกับต้องรับผิดชอบด้วย หรือที่เราดูแล้วมันเกกมะเหรกเกเร อย่างคดีที่ไปยิงผู้กำกับ ถ้าเราเข้มตามคำสั่งดังกล่าวเห็นว่ามีพฤติการณ์กินเหล้า ก้าวร้าว ต้องส่งตัวไปบำบัดฟื้นฟูก่อน มีมาตรการเชิงอย่างนี้อยู่ เพียงแต่ว่าเราอาจจะไม่ได้ทำกัน พอไม่ได้ทำก็มาเกิดเหตุใหญ่โต พอจะย้อนกลับไปทำก็วัวหายล้อมคอก แต่จริงๆ มาตรการในเชิงป้องกันมีอยู่แล้ว สามารถที่จะตั้งกรรมการให้ออกจากราชการ เราถือว่าหย่อนความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานเอาผิดได้ แต่ยกเอาพฤติการณ์มาได้” รอง ผบ.ตร. ให้ความเห็น

ส่วนที่เคยมีคนกล่าวว่าตำรวจต้องหาเงินเพื่อมาวิ่งเต้นจึงทำให้กลายเป็นโจร พล.ต.อ.เอก บอกว่า เป็นข้ออ้างแต่เพียงฝ่ายเดียว เหมือนข้อแก้ตัวที่ยิ่งทำให้องค์กรเสื่อมเสีย

“ขอยืนยันมั่นใจในฐานะผู้บังคับบัญชาตำรวจ ไม่ได้เป็นไปตามข้อกล่าวหา ในระบบก็ยังมีการบริหารจัดการ ตรวจสอบ ติดตาม ร้องทุกข์ มีกระบวนการอยู่ ที่พูดพล่อยๆ ว่าจะเอาเงินไปเสียให้คนนู้นคนนี้ก็พูดได้หมด แต่ปัญหาคือข้อเท็จจริงเป็นอย่างนั้นหรือไม่ ไม่เช่นนั้นมันอยู่ไม่ได้หรอก ที่จะมีแต่คนเลวขึ้นไปเป็นผู้บริหารสำนักงานตำรวจ” พล.ต.อ.เอก ยืนยัน

ในขณะที่อีกปัญหาหนึ่ง คือ ตำรวจชั้นประทวนหากินกับการรับส่วย พล.ต.อ.เอก ไม่ปฏิเสธว่ามีอยู่ แต่ความจำเป็นต่างๆ เหล่านั้น ไม่ใช่เหตุผลที่จะเอามาพิจารณาได้

“ทุกคนรู้อยู่แล้วข้อจำกัดตรงนี้มี ทุกคนเข้ามาเป็นตำรวจด้วยความภูมิใจ เสียสละมาทำหน้าที่นี้ เพราะฉะนั้นเมื่อเข้ามาแล้วจำเป็นจะต้องกระทำความชั่วต่างๆ เพื่อที่จะให้ตัวเองได้ดำรงชีวิตหรือดูแลครอบครัวต่อไปได้ อย่างนั้นก็เป็นเหตุให้คนทั่วไปเป็นโจรได้หมด ยิ่งเป็นตำรวจยิ่งพูดไม่ได้ มาแอบอ้างเอาข้ออ้างนี้ไม่ได้ ถ้าใครคิดจะอ้าง จะพูดอย่างนี้ ผมว่าควรลาออกไปซะ ถ้าเป็นตำรวจแล้วไม่มีเงินเลยต้องไปกระทำความชั่วให้ได้เงินมา” รอง ผบ.ตร. กล่าว

หากเอาจริง ...คงถึงคราวกำราบเหลือบไรสีกากีที่มีพฤติกรรมเป็นโจรได้บ้าง