posttoday

พิชิตคดีด้วย ‘Line Group’ รวบฆาตกรฆ่าสาวญี่ปุ่น

15 ตุลาคม 2555

มีเพียงทีมงานตำรวจชุดจับกุมเท่านั้น ที่รู้ว่าการตามรวบตัวฆาตกรไทยที่ฆ่าสาวญี่ปุ่นเมื่อ 19 ปีที่แล้ว มันไม่ใช่เรื่องง่าย

โดย...วัสยศ งามขำ

มีเพียงทีมงานตำรวจชุดจับกุมเท่านั้น ที่รู้ว่าการตามรวบตัวฆาตกรไทยที่ฆ่าสาวญี่ปุ่นเมื่อ 19 ปีที่แล้ว มันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ด้วยการประสานงานกันผ่าน Line Group แอพพลิเคชันยอดนิยมที่อยู่ในไอโฟน ไอแพด และแอนดรอยด์ แบบสดตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเซตขึ้นมาเป็นการเฉพาะกิจ ก็ทำให้การล่าตัวฆาตกรรายนี้ง่ายขึ้น

ตำรวจกองปราบปรามภายใต้การนำทีมของ พ.ต.อ.ทินกร รังมาตย์ ผู้กำกับการ 6 กองบังคับการปราบปราม (ผกก.6 บก.ป.) ได้จับกุมตัวนายวีรศักดิ์ เอี่ยมพงศ์ษา อายุ 39 ปี ชาว อ.เมือง จ.ตรัง ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา วันที่ 5 ต.ค. 2555 ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา โดยจับกุมได้ขณะนั่งรถโดยสารจากกรุงเทพฯ กลับบ้านที่ จ.ตรัง ขณะรถทัวร์กำลังจอดบริเวณที่จอดรถริมถนนเพชรเกษม ต.ชะมาย อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช

นายวีรศักดิ์เป็นที่ต้องการของตำรวจทั้งไทยและญี่ปุ่นอย่างมากจากคดีฆาตกรรม น.ส.อวาจิ เมกูมิ อายุ 33 ปี กลางกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2539 หรือ 16 ปีที่แล้ว ขณะที่เขายังเป็นเด็กวัยรุ่นและเดินทางไปทำงานในบาร์โฮสต์ ย่านชินจูกุ โดยคดีนี้จะขาดอายุความในวันที่ 14 มี.ค. 2556

ก่อนหน้านี้ตำรวจญี่ปุ่นได้ทำหนังสือทวงถามมาโดยตลอด แต่เนื่องจากไทยและญี่ปุ่นไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ทำให้ผู้ต้องหารายนี้ลอยนวลมาตลอด ต่อมาคดีใกล้ครบอายุความที่กฎหมายไทยกำหนดไว้ 20 ปี เมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา พ.ต.อ.ยูอิจิ ฮารา ตำรวจนครบาลกรุงโตเกียว จึงได้ทวงถามคดีนี้มาอีกครั้งผ่านกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

พิชิตคดีด้วย ‘Line Group’  รวบฆาตกรฆ่าสาวญี่ปุ่น

 

กระทั่งเรื่องถูกส่งมาถึง พ.ต.อ.ทินกร คดีนี้จึงถูกปัดฝุ่นขึ้นอย่างจริงจัง แม้จะไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน แต่สามารถใช้ข้อกฎหมายว่าด้วยความร่วมมือทางอาญาระหว่างประเทศได้ กองปราบปรามจึงร่วมกับพนักงานอัยการ สำนักคดีอาญาและสำนักงานต่างประเทศ และเจ้าหน้าที่ประเทศญี่ปุ่น ในการสอบปากคำพยานต่างๆ ทันที เพื่อที่จะให้ศาลอาญาออกหมายจับผู้ต้องหารายนี้

ราวกลางเดือน ก.ย. ตำรวจกองปราบปรามชุดหนึ่งเดินทางไปรวบรวมหลักฐานที่ประเทศญี่ปุ่น หลังกลับมา พ.ต.อ.ทินกร ให้พนักงานสอบสวนประสานงานกันอย่างต่อเนื่องกับอัยการฝ่ายต่างประเทศเพื่อเร่งขอศาลออกหมายจับ ขณะที่ชุดสืบสวนก็ให้เฝ้าจับตาเป้าหมายไว้ ซึ่งจังหวะนี้เองที่ชุดสืบสวนพบว่าตัวของผู้ต้องหายังคงอยู่ในบ้านเกิดเมืองตรัง ไม่ได้ย้ายถิ่นฐานไปไหน

วันศุกร์ที่ 5 ต.ค. หลังศาลอนุมัติหมายจับ การไล่ล่าตัวนายวีรศักดิ์ได้เปิดฉากขึ้น พ.ต.อ.ทินกร ซึ่งสั่งการอยู่ในกรุงเทพฯ ได้ประสานงานผ่านชุดสืบสวนที่อยู่ในพื้นที่ จ.ตรัง เนื่องจากเป็นการทำงานแบบข้ามจังหวัดและมีเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามอยู่ในชุดสืบสวนหลายสิบคนกระจายอยู่หลายจุด เพราะต้องการรวบตัวนายวีรศักดิ์ได้อย่างทันที เพราะหากบุ่มบ่ามไปจนทำให้ผู้ต้องหารู้ตัวงานนี้จะยากยิ่งขึ้น และเงื่อนไขเวลาก็บีบเข้ามาอย่างกระชั้นชิด

พ.ต.อ.ทินกรเลือกที่จะใช้การสื่อสารผ่าน Line Group ในการติดต่อกันระหว่างชุดสืบสวน

“ผมคิดว่าใช้วิธีนี้เป็นวิธีการสื่อสารที่ดีที่สุดครับ มันรวดเร็ว ส่งเอกสาร ส่งรูป ให้กับทุกคนในชุดสืบสวนได้ ที่สำคัญลูกน้องทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นกลับมาได้ และทุกคนก็ได้รับรู้ เป็นวิธีการที่สามารถคิดด้วยกัน หากมีข้อผิดพลาดก็สามารถเตือนถึงกันได้ ขณะเดียวกันฝ่ายกฎหมายก็อยู่ในไลน์ด้วย ซึ่งเขาสามารถแนะนำข้อกฎหมายได้อย่างทันท่วงที หากเห็นว่าวิธีการที่เราคุยกันนั้นสุ่มเสี่ยงต่อการกระทำผิดกฎหมาย”

ข้อมูลการสืบสวนพบว่า นายวีรศักดิ์ไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่ง แต่ทุกคืนมักจะมานั่งที่ร้านน้ำชาใน บ.ข.ส.ตรังเป็นประจำ จากการสื่อสารกันผ่านไลน์ก็พบว่าหากใช้กำลังใน จ.ตรัง อย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ ชุดสืบสวนของ จ.สงขลา และพัทลุง จึงถูกสั่งการผ่านไลน์เข้ามาสมทบ

“ผมให้กระจายกำลังกันเฝ้า แต่เป้าหมายกลับไม่ปรากฏตัวเหมือนกับทุกคืน สิ่งที่กังวลมากที่สุด คือกลัวว่าจะรู้ตัว”

กระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น จากการแกะรอยทางเทคโนโลยีทำให้รู้ว่าผู้ต้องหาไปอยู่บ้านพี่สาวที่ จ.ตาก แต่ยังไม่ทันจะเริ่มวางแผนก็พบว่านายวีรศักดิ์มาอยู่ที่ จ.นครสวรรค์ และจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ คาดเดาว่าน่าจะกลับบ้านเกิด

เช้าวันอาทิตย์ที่ 7 ต.ค. ความชัดเจนก็เริ่มปรากฏขึ้น ว่าผู้ต้องหาจะเดินทางกลับ จ.ตรัง พ.ต.อ.ทินกรสั่งการผ่านไลน์ให้ตรวจสอบว่านายวีรศักดิ์โดยสารรถทัวร์บริษัทใด ไม่นานนักชุดแกะรอยก็พบตัวนายวีรศักดิ์

“ส่งหมายเลขรถมาด้วย...เป้าหมายอยู่ชัวร์ เขานิพัน เวียงสระ (จ.สุราษฎร์ธานี)” ข้อความในไลน์รายงานอย่างต่อเนื่องเป็นระยะๆ ถึงการเคลื่อนไหวของรถทัวร์ที่มีฆาตกรนั่งอยู่ด้วย กระทั่งรถเคลื่อนเข้าสู่ อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นจุดวางกำลัง พ.ต.อ.ทินกร จึงสั่งให้ขับรถตามประกบรถทัวร์ทันที เนื่องจากตรวจสอบแล้วว่ารถทัวร์คันนี้กำลังจะจอดแวะที่จุดจอดชั่วคราวใน อ.ทุ่งสง และก็เป็นตามนั้น เมื่อรถจอดที่จุดจอดรถ กำลังที่วางอยู่จึงสวนขึ้นไปบนรถทันที ขณะที่ชุดสืบสวนที่ขับรถตามมาก็ขึ้นไปสมทบ เพราะต้องวางกำลังคุ้มกัน เพราะยังไม่รู้ว่าผู้ต้องหามีอาวุธและพร้อมที่จะต่อสู้หรือไม่

“ผู้โดยสารบนรถสำคัญที่สุดครับ หากมีการต่อสู้กันขึ้นทุกคนจะต้องได้รับความปลอดภัย เราต้องจับกุมแบบเซฟที่สุด ต้อง Contact and Cover” พ.ต.อ.ทินกร กล่าว เมื่อเป็นเช่นนั้นตำรวจที่ขึ้นไปบนรถคนแรกจึงนั่งประกบข้างตัวของนายวีรศักดิ์ทันที หลังจากเห็นว่าที่นั่งด้านข้างของผู้ต้องหาว่างอยู่พอ ขณะที่กำลังตำรวจคนอื่นๆ นั่งที่เบาะด้านหลังและคุ้มกันด้านหน้า ที่ต้องทำเช่นนี้ก่อนก็เพราะว่าต้องตรวจสอบให้แน่ชัดว่าใช่ตัวนายวีรศักดิ์หรือไม่ เนื่องจากตำรวจชุดจับกุมก็ไม่เคยเห็นตัวจริงมาก่อน ตำรวจที่นั่งประกบเริ่มชวนนายวีรศักดิ์พูดคุย จนเมื่อแน่ชัดแล้วกุญแจมือก็สับเข้ากับข้อมือของผู้ต้องหาแบบทันที โดยที่นายวีรศักดิ์ยังคงนั่งอ้าปากค้างพร้อมกับสิ้นอิสรภาพ

“มันเป็นคดีที่น่าภูมิใจครับ ผู้ต้องหาหนีคดีมาเหลืออีก 5 เดือนจะหมดอายุความ แต่เราสามารถจับได้ ด้วยการประสานงานกันผ่านไลน์ ช่องทางการสื่อสารแบบใหม่ ที่ทำให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็น มันคลาสสิกมากๆ ครับ” พ.ต.อ.ทินกร ทิ้งท้าย