posttoday

แกะรอยคดี ‘หมอสุพัฒน์’ หาหลักฐานมัดคดีฆ่า

08 ตุลาคม 2555

เป็นอีกคดีที่ยังคงเป็นที่กล่าวขวัญถึง เนื่องมาจากตำรวจยังไม่สามารถปิดแฟ้มคดีลงได้อย่างเบ็ดเสร็จ แม้ว่าจะสามารถรวบตัว

โดย...วัสยศ งามขำ

เป็นอีกคดีที่ยังคงเป็นที่กล่าวขวัญถึง เนื่องมาจากตำรวจยังไม่สามารถปิดแฟ้มคดีลงได้อย่างเบ็ดเสร็จ แม้ว่าจะสามารถรวบตัว พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ นายแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ เอาไว้ได้พร้อมกับแจ้งข้อหาหลายคดี แต่ก็ยังไม่สามารถแจ้งข้อหาสำคัญ คือ ฆาตกรรมได้ เพราะนอกจากคำให้การของพยานแล้ว ยังไม่พบศพของทั้งสองสามีภรรยา

อย่างไรก็ตาม ด้วยการแกะรอยแบบพลิกแผ่นดินตามพยานข้ามประเทศของทีมสืบสวนที่มีนักสืบมือดีอย่าง พล.ต.ท.หาญพล นิตย์วิบูลย์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 (ผบช.ภ.7) เป็นหัวหน้าทีม ชุดสืบสวนจึงได้เตรียมแจ้งข้อหาฆ่าคนตายกับหมอสุพัฒน์แล้ว

คดีนี้เรียกได้ว่าเป็นคดีที่ใช้ทั้งฝีมือในการสืบสวน และหลักฐานสำคัญทางนิติวิทยาศาสตร์ ที่ต้องประสานกันอย่างคล้องจอง เพราะหลังจากแกะรอยจากโครงกระดูกทั้งสามโครงที่ขุดได้ในไร่ และพบว่าหนึ่งในนั้นเป็นคนงานชาวพม่า การตามตัวญาติคนตายแบบข้ามประเทศจึงเกิดขึ้นเพื่อนำตัวมาตรวจดีเอ็นเอ และดีเอ็นเอเท่านั้นที่จะสามารถพิสูจน์ทราบได้ว่าโครงกระดูกนั้น เป็นคนที่พยานยืนยันจริงหรือไม่

หากย้อนรอยคดีการหายตัวไปของนายสามารถ นุ่มจุ้ย วัย 27 ปี และ น.ส.อรษา เกิดทรัพย์ วัย 27 ปี สองสามีภรรยา ตั้งแต่เกิดเหตุจะพบว่าเป็นคดีที่มีความซับซ้อนไม่น้อยไปกว่าคดีดังที่มีเงื่อนงำในอดีต โดยถูกรูดม่านเปิดฉากขึ้นตั้งแต่เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2552 เมื่อนางเล็กเฮง สุวรรณ อายุ 54 ปี มารดาของนายสามารถ และนางเอื้อน เกิดทรัพย์ มาราดาของ น.ส.อรษา ได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.ท่าไม้รวก อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี ว่าคนทั้งสองได้หายตัวไปพร้อมกับรถยนต์กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า สีน้ำตาล หมายเลขทะเบียน บฉ 5960 เพชรบุรี โดยหายไปตั้งแต่วันที่ 12 มิ.ย. 2552

แกะรอยคดี ‘หมอสุพัฒน์’  หาหลักฐานมัดคดีฆ่า

 

คดีการหายตัวไปไม่มีความคืบหน้า ตำรวจโรงพักท่าไม้รวก ได้ประกาศคนหายไว้เท่านั้น การหายตัวไปของทั้งสองคนได้สร้างความอึมครึมให้กับครอบครัว พ่อและแม่ของนายสามารถมีความเชื่อว่าน่าจะเกี่ยวพันกับความขัดแย้งระหว่างนายสามารถกับหมอสุพัฒน์ ถึงขนาดที่เคยขอเข้าพบกับหมอสุพัฒน์ แต่หมอก็ได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้อง พร้อมกับแสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการรับนางวิมล นุ่มจุ้ย พี่สาวของนายสามารถ เป็นลูกจ้างช่วยงานตนเองที่โรงพยาบาลตำรวจ

แม้จะทำงานได้สองปี แต่วิมลก็ไม่ได้สบายใจ เพราะเชื่อว่าหมอสุพัฒน์น่าจะเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของน้องชาย ระหว่างนั้นวิมลรู้ว่าหมอสุพัฒน์มีความขัดแย้งเรื่องมรดกกับครอบครัว ถึงขนาดไปร้องขอต่อศาลยื่นขอเป็นผู้จัดการมรดก จึงนำเรื่องเข้าพูดคุยกับนายสุเทพ เลาหะวัฒนะ พี่ชายของหมอสุพัฒน์ พร้อมกับถามหาเบาะแสของน้องชาย นายสุเทพซึ่งไม่ลงรอยกับหมอสุพัฒน์เรื่องปมมรดก จึงรับปากว่าจะช่วยเหลือนางวิมล โดยจะพาไปดูที่บ้านหลังหนึ่งของหมอสุพัฒน์

วันที่ 15 ก.ย.ที่ผ่านมา หลังจากการหายตัวไป 3 ปี คดีนี้ก็เริ่มฉายแสงแห่งความลึกลับมากขึ้น เมื่อนายสุเทพพานายสว่างและนางวิมล พ่อและพี่สาวของนายสามารถไปที่บ้านหลังหนึ่งของหมอสุพัฒน์ ในชุมชนศิริโชติ กรุงเทพฯนนทบุรี ซอย 1 อ.เมือง จ.นนทบุรี จึงพบว่ารถยนต์ของนายสามารถจอดอยู่ในบ้านหลังดังกล่าว เมื่อเป็นเช่นนั้นวันที่ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา ครอบครัวของนายสามารถจึงเข้าแจ้งความกับตำรวจโรงพักท่าไม้รวกดำเนินคดีกับหมอสุพัฒน์ และ น.ส.วัลสา จันทรบัญชร ภรรยาคนที่สามของหมอสุพัฒน์ทันที

คดีนี้จึงเปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยมี พล.ต.ท.หาญพล เข้ามาคุมคดีอย่างเต็มตัว ก่อนที่จะบุกเข้าตรวจค้นไร่ของหมอสุพัฒน์ ครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 ก.ย. พบอาวุธปืนสั้นยาวรวม 42 กระบอก กระสุน 5,442 นัด นอกจากนี้ยังพบโครงกระดูกมนุษย์อีก 1 โครง บรรจุอยู่ในกระสอบปุ๋ยฝังดิน วันรุ่งขึ้นตำรวจเข้าค้นในไร่อีกครั้ง และพบโครงกระดูกมนุษย์เพิ่มอีก 1 โครง ก่อนที่จะพบโครงกระดูกอีก 1 โครง เมื่อวันที่ 22 ก.ย. แต่ผลตรวจดีเอ็นเอทั้งสามศพ เปรียบเทียบกับดีเอ็นเอของคนในครอบครัวของนายสามารถ และ น.ส.อรษา กลับพบว่าไม่ตรงกัน นั่นก็คือทั้งสามศพไม่ใช่สองสามีภรรยาที่ตำรวจกำลังตามหาอยู่

พล.ต.ท.หาญพล เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังแจ้งข้อหาฆ่าคนตายกับหมอสุพัฒน์ไม่ได้ เพราะยังไม่มีหลักฐานว่าเป็นคนฆ่าสองสามีภรรยา เบื้องต้นได้ดำเนินคดี 4 ข้อหา คือ ร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยว และลักทรัพย์หรือรับของโจร โดยคดีนี้ได้ออกหมายจับ น.ส.วัลสา ภรรยาคนที่ 3 ของผู้ต้องหาไว้ด้วย เนื่องจากพยานซึ่งเป็นแม่บ้านในบ้านของหมอสุพัฒน์ เป็นคนให้การว่า ได้โทรไปบอกหมอสุพัฒน์ว่ามีคนเข้ามาตัดไม้ในไร่ ตามที่หมอสั่งไว้ว่าให้โทรบอกหากมีคนลุกล้ำเข้ามา โดยพยานได้ให้การว่าเมื่อโทรไปบอกแล้ว ผู้ต้องหาทั้งคู่ได้ขับรถเข้ามาในไร่ และไปจับตัวสองสามีภรรยาขึ้นรถออกไป ก่อนที่จะหายตัวไป ส่วนอีกสองคดีเป็นข้อหาเกี่ยวกับอาวุธปืน และข้อหาค้ามนุษย์ เนื่องจากมีการจ้างและขนส่งแรงงานพม่าโดยผิดกฎหมาย

“ใกล้ที่จะแจ้งข้อหาฆาตกรรมกับหมอสุพัฒน์แล้วในสัปดาห์นี้ เนื่องจากนายกะลาคนงานพม่าในไร่ให้การกับตำรวจว่า โครงกระดูกโครงที่สามนั้นเป็นเพื่อนคนงานชาวพม่าที่เคยทำงานในไร่ ชื่อนายอิต้า ซึ่งถูก พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ยิงเข้าที่ศรีษะจนเสียชีวิต และบังคับให้นายกะลาเอาศพไปฝัง ขณะนี้ตำรวจได้นำตัวแม่และลูกของคนงานรายนี้ จากพม่าเข้ามาตรวจดีเอ็นเอในเมืองไทยแล้ว หากผลการตรวจตรงกัน และพิสูจน์ได้ว่าเป็นนายอิต้าจริงตามที่พยานให้การ ตำรวจก็สามารถแจ้งข้อหาฆ่าคนตายได้ทันที สำหรับโครงกระดูกอีก 2 โครงนั้น อีก 1 โครงพยานยืนยันว่าเป็นเพื่อนคนงานชาวพม่าที่ป่วยตายและได้นำศพไปฝัง ส่วนอีกโครงนั้นยังไม่ทราบว่าเป็นใคร สำหรับสาเหตุที่ผู้ต้องหาต้องฆ่านายอิต้า ว่าน่าจะมาจากเรื่องชู้สาว เนื่องจากชอบเข้าไปใกล้ชิดกับภรรยาคนที่สามของหมอสุพัฒน์ ทำให้เกิดปมหึงหวงขึ้นมา” พล.ต.ท.หาญพล เล่าถึงข้อมูลจากพยาน

ผบช.ภ.7 บอกอีกว่ากำลังตามหาคนงานชาวพม่าอีกคน คือ นายโย่ง ที่อยู่ในเหตุการณ์ที่หมอลงมือฆ่านายอิต้า โดยนายโย่งหนีไปจากไร่ เนื่องจากเกรงว่าจะถูกฆ่าไปด้วยและกำลังพยายามตามหาตัว น.ส.วัลสา ผู้ต้องหาอีกคนที่ตอนนี้หลบหนี หากได้ตัวมาน่าจะทำให้การตามหาศพของสองสามีภรรยามีความง่ายมากขึ้น

“คดีนี้เกิดปัญหาเพราะว่าผู้ต้องหามีความรู้สูง แต่จิตใจไม่ปกติ อาจจะเห็นความตายจนชาชิน จากคำให้การของพยานที่อยู่ในบ้าน พบว่าหมอมีความเหี้ยม และน่าจะมีคนงานพม่าถูกฆ่าตายไปมากกว่านี้ก็ได้ มันเหมือนเป็นการทำด้วยความสะใจ และคนงานในไร่เองก็กลัวหมอมาก อย่างไรก็ตามผมเฉยๆ กับคดีนี้ มันไม่แตกต่างจากคดีฆาตกรรมอื่นๆ หรอกครับ เพียงแต่มีการซ่อนหลักฐาน เราต้องหาหลักฐานให้แน่นที่สุด เพื่อให้หมอได้รับโทษในชั้นศาล” พล.ต.ท.หาญพล กล่าวทิ้งท้าย