posttoday

ระดมชุมชนฝรั่งล้างมาเฟียพัทยา

17 กันยายน 2555

ตำรวจกองปราบปรามกำลังเป็นแกนกลางให้ชาวต่างชาติที่มาลงหลักปักฐานในเมืองพัทยา

โดย...วัสยศ งามขำ


ตำรวจกองปราบปรามกำลังเป็นแกนกลางให้ชาวต่างชาติที่มาลงหลักปักฐานในเมืองพัทยา รวมตัวกันเป็นชุมชนขนาดย่อมก่อนระดมสมองเพื่อแก้ปัญหาอาชญากรรมในท้องถิ่นของตัวเอง อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดเห็นตรงกันว่าปัญหามาเฟียเจ็ตสกีที่ก่อกลุ่มรวมก๊วนสร้างปัญหากวนใจให้กับนักท่องเที่ยวหลากสัญชาติ เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ควรหยิบยกมาเป็นปัญหานำร่องและแก้ไขทันที ก่อนที่ชื่อเสียงของพัทยาจะเน่าหนักไปกว่านี้

ชาวต่างชาติรวม 12 ชีวิต ที่ส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจ กำลังรวมกลุ่มกันเป็นชุมชนขนาดย่อมในเมืองพัทยา ทั้งที่ไม่ได้เป็นเพื่อนร่วมชาติกันมาก่อน แต่ทั้งหมดมีจุดร่วมเดียวกัน คือต้องการให้พัทยาเมืองท่องเที่ยวของโลกมีความน่าอยู่มากขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยแก๊งอาชญากรรม ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือมาเฟียอิมปอร์ตที่เข้ามาเกะกะระรานอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย

การรวมกลุ่มกันครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกของชาวต่างชาติในพัทยาก็ว่าได้ โดยมี พ.ต.ท.ณัฐพงศ์ ตรงเที่ยง สารวัตรกองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม เป็นแกนนำสำคัญในการจัดตั้ง ขณะที่ พ.ต.อ.นิรันดร์ นามสุวรรณ ผู้กำกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม เป็นคนวาดวางนโยบายและควบคุมการใช้กำลังในพื้นที่แห่งนี้ โดยได้ไอเดียจากทฤษฎี Community Policing ที่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กำลังขับเคลื่อนอยู่ในขณะนี้

เขาเล่าถึงจุดเริ่มต้นของการรวบรวมชุมชนคนต่างชาติในพัทยาให้ฟังว่า ได้พยายามออกหาเครือข่ายชาวต่างชาติที่มีแนวความคิดที่ดี เป็นนักธุรกิจและอยู่ในพื้นที่มานาน ซึ่งสามารถรวบรวมได้ 12-15 คน เพื่อมาพูดคุยในลักษณะของประชาคมหมู่บ้านจากหลากหลายประเทศ อาทิ เดนมาร์ก ฝรั่งเศส เยอรมนี เบลเยียม อินเดีย เป็นต้น โดยมีเจ้าหน้าที่หน่วย JusmagThai ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลทหารของสหรัฐมาร่วมพูดคุยด้วย ปัญหาหลักที่พวกเขาเห็นตรงกันคือมาเฟียเจ็ตสกี

ระดมชุมชนฝรั่งล้างมาเฟียพัทยา

 

“มีคลิปวิดีโอจำนวนมากในยูทูบที่แฉให้เห็นถึงพฤติกรรมของทีมงานให้เช่าเจ็ตสกี ต้มตุ๋น หลอกลวง นักท่องเที่ยว ก่อนที่จะข่มขู่เอาทรัพย์สินเกินกว่าความเสียหายจริง เหตุการณ์นี้ยังคงเกิดอย่างต่อเนื่องและเรื่องไม่ถึงตำรวจด้วยซ้ำ เพราะนักท่องเที่ยวไม่อยากมีเรื่อง ทำกันเป็นขบวนการ ทั้งคนไทยและต่างชาติที่ร่วมมือกัน” พ.ต.ท.ณัฐพงศ์ กล่าว

เรื่องนี้ส่งผลให้หน่วย JusmagThai ต้องออกคำเตือนให้กับทหารเรือหรือนาวิกโยธินสหรัฐห้ามมาเช่าเจ็ตสกีหรือเรือขับในเมืองไทย เพราะกลัวจะกลายเป็นเหยื่อเช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ

“ผมได้เริ่มสืบสวนคดีนี้แล้ว ทำให้พบว่ามีร้านให้เช่าเจ็ตสกีและเรืออยู่สองเจ้าในเขตพัทยาใต้ที่มีพฤติกรรมแบบนี้ โดยมีชาวต่างชาติ เช่น ผรั่งเศส อียิปต์ เข้ามาร่วมขบวนการด้วย กำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินคดี จัดการกับขบวนการนี้ให้หมดไปจากพัทยาอย่างถาวร” พ.ต.ท.ณัฐพงศ์ กล่าว

ขณะที่เจ้าของกิจการให้เช่าเจ็ตสกี จรูญ พงษ์วุฒิธรรม วัย 48 ปี ที่มีเจ็ตสกีให้เช่ามากกว่า 10 ลำ และดำเนินกิจการมากว่า 10 ปี กล่าวเห็นด้วยกับความเห็นของชุมชนชาวต่างชาติ ที่เห็นร่วมกันว่าควรเข้ามาจัดการกับปัญหานี้บนชายหาดพัทยา ว่า รู้สึกดีที่มีคนมาให้ความสำคัญในเรื่องนี้ ซึ่งตรงกับความคิดของตน ปัญหานี้เกิดจากเด็กวัยรุ่นที่เข้ามาทำหน้าที่รับส่งเจ็ตสกีที่มาหากินกับชาวต่างชาติ ที่ผ่านมาตนก็เคยพบกับพฤติกรรมแบบนี้ เมื่อพบก็ไล่ออกแต่เด็กพวกนี้ก็ไปทำงานกับเจ้าอื่นอีก และมีการทำกันเป็นขบวนการโดยร่วมกับชาวต่างชาติที่มีความชำนาญหลายภาษา

“เด็กรับส่งเรือพวกนี้จะวางแผนด้วยการจอดเรือในลักษณะสลับฟันปลา นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่เคยขับเจ็ตสกีมาก่อน เมื่อขับออกไปก็จะชนกับเรือที่จอดขวางอยู่ เมื่อชนเด็กพวกนี้ก็จะเรียกเงินค่าซ่อมเป็นจำนวนมาก แต่นำมาส่งให้ผมแค่นิดเดียว โดยจะคบคิดกับชาวต่างชาติที่จะเข้ามาทำหน้าที่คอยเคลียร์ปัญหาให้ ฝรั่งที่เข้ามาเคลียร์จะได้เงินทั้งสองฝ่าย ทั้งจากนักท่องเที่ยวเพราะช่วยเคลียร์ปัญหา และจากเด็กรับเรือด้วย ปัญหานี้ทำให้กระทบกับการท่องเที่ยวของพัทยาร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ” จรูญ กล่าว

ด้าน นีล โคลอน วัย 64 ปี นักธุรกิจที่มีครอบครัวในพัทยามากว่า 28 ปี และเป็นหนึ่งในชุมชนชาวต่างชาติที่เข้ามาร่วมแก้ปัญหา กล่าวว่า เป็นไอเดียที่ดีที่กองปราบฯ เข้ามาจัดการกับปัญหาอาชญากรรมในพัทยา ก่อนหน้านี้ยังไม่เคยมีตำรวจเข้ามาจัดการกับปัญหานี้อย่างจริงจัง ทั้งที่เป็นเรื่องที่ทำให้พัทยาเสียหายอย่างมากและกระทบต่อธุรกิจการท่องเที่ยวอย่างชัดเจน มีชาวต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้องกับขบวนการนี้ด้วย และได้ให้ข้อมูลกับตำรวจไปแล้ว การที่เรามารวมตัวกันทำให้พูดคุยถึงปัญหาได้อย่างตรงไปตรงมา และคิดถึงการแก้ปัญหาร่วมกัน

ด้านนักธุรกิจทัวร์และเรียลเอสเตทชาวฝรั่งเศสวัยไล่เลี่ยกับนีลที่มาเข้าร่วมกับชุมชน แต่ไม่ขอบอกชื่อ กล่าวว่า เป็นไอเดียที่ดีที่ตำรวจกองปราบฯ เดินเข้ามาจัดการกับปัญหา โดยเอาคนที่อยู่ในปัญหามามีส่วนร่วม ตนพร้อมที่จะช่วยหาหลักฐานเกี่ยวกับปัญหาอาชญากรรมในพัทยา เพราะอยู่ที่เมืองพัทยามานาน 24 ปีแล้ว หากปล่อยปัญหาไปนานกว่านี้นักท่องเที่ยวก็จะหนีไปที่อื่น อย่างเช่น ภูเก็ต ก็จะกระทบกระเทือนกับนักธุรกิจที่นี่ด้วย จึงอยากขอให้ตำรวจเร่งสืบสวนจับกุมกรณีนี้ที่ถือเป็นกรณีนำร่องและจัดการกับปัญหาอื่นๆ โดยตนและเพื่อนๆ พร้อมจะสร้างเครือข่ายขึ้นมาเพื่อหาข้อมูลให้ตำรวจสืบสวนจับกุมคนทำผิดต่อไป