คุก2โจ๋แนวร่วมแดงฝ่าฝืนพรก.ฉุกเฉิน

ศาลเยาวชนจำคุก 2 โจ๋แนวร่วมแดง 3 เดือน ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ให้รอกำหนดโทษ 1 ปี ยกฟ้องข้อหาปล้นเซ็นทรัลเวิลด์ – ขัดขวางเจ้าหน้าที่

ที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง สนามหลวง ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ.1504/2553 ซึ่งพนักงานอัยการ เป็นโจทก์ ฟ้อง 2 เยาวชน ในความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีและใช้อาวุธปืน, ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติตามหน้าที่  ฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 เหตุเกิดเมื่อวันที่ 19 พ.ค.53 บริเวณห้างเซ็นทรัลเวิลด์ (CTW) ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)  

นายโชคชัย อ่างแก้ว ทนายความ เปิดเผยภายหลังว่า ศาลพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งความผิดดังกล่าวให้ระวางโทษจำคุก 3 เดือน แต่เนื่องจากจำเลยทั้งสองยังเป็นเยาวชนและไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน โทษดังกล่าวจึงให้รอการกำหนดโทษไว้ 1 ปี โดยให้จำเลยทั้งสองรายงานตัวไม่น้อยกว่า 3 ครั้ง พร้อมคุมประพฤติ และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ 72 ชั่วโมง

ส่วนความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ฯ และขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติตามหน้าที่  ศาลยกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิด เพราะของกลางไม่ได้อยู่ที่ตัวของจำเลย และไม่มีพยานยืนยันว่าจำเลยได้ทำลายสิ่งของและต่อสู้ขัดขวางพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งคำพิพากษาในข้อหาหลักถือเป็นประโยชน์ต่อจำเลย แต่ในส่วนข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทางจำเลยไม่ติดใจจะอุทธรณ์ เพราะเป็นกรณีเล็กน้อย  ซึ่งศาลเห็นว่าการชุมนุมถือเป็นสิทธิที่สามารถกระทำได้ แต่เมื่อรัฐบาลได้ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินมาแล้วยังฝ่าฝืนก็มีความผิด

ขณะที่ นายอาคม รัตนพจนาร์ถ ทนายความผู้รับผิดชอบคดีเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ที่อัยการยื่นฟ้อง นายสายชน แพบัว การ์ด นปช. และนายพินิจ จันทร์ณรงค์ เปิดเผยว่า คดีนี้อยู่ระหว่างสืบพยาน ซึ่งศาลอาญากรุงเทพใต้นัดสืบพยานโจทก์นัดสุดท้ายวันที่ 5 พ.ย. เวลา 09.00 น. โดยอัยการจะนำพนักงานสอบสวนของดีเอสไอขึ้นเบิกความ หากโจทก์นำสืบพยานเสร็จสิ้นแล้วตนจะนำจำเลยทั้งสองขึ้นเบิกความเป็นพยานต่อไป ทั้งนี้ จากการสืบพยานที่ผ่านมาตนเห็นว่ายังไม่มีพยานปากใดชี้ชัดได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้ก่อเหตุ จึงมีความมั่นใจมากในการต่อสู้คดีนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีปล้นทรัพย์ห้างเซ็นทรัลเวิลด์นั้น ก่อนหน้านี้ศาลอาญากรุงเทพใต้ได้พิพากษาเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.54 ยกฟ้อง นายพินิจ จันทร์ณรงค์ อายุ 27 ปี นายวิศิษฐ์ แก้วหล้า อายุ 34 ปี นายอาทิตย์ เบ้าสุวรรณ อายุ 30 ปี นายพรชัย โลหิตดี อายุ 37 ปี นายยุทธชัย สีน้อย อายุ 24 ปี และ นางเจียม ทองมา อายุ 46 ปี ในความผิดเกี่ยวกับการปล้นทรัพย์ รวม 18 รายการ มูลค่า 95,430 บาท เนื่องจากยังไม่มีทรัพย์สินของกลางที่ยืนยันว่าจำเลยทั้งหมดเป็นผู้กระทำความผิด คงมีเพียง นายคมสันต์ สุดจันทร์ฮาม อายุ 43 ปี จำเลยที่ 3 ที่ถูกลงโทษ 3 ปี ส่วนความผิดฐานฝ่าฝืนประกาศข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ให้จำคุกจำเลยทั้งเจ็ดคนละ 1 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษกึ่งหนึ่งคงจำคุกไว้คนละ 6 เดือน