posttoday

จี้สตช.เร่งหาตัวน้องจีจี้

13 กันยายน 2555

มูลนิธิกระจกเงาแถลงครบรอบ 2 ปี การหายตัวไปของน้องจีจี้ ชี้สตช.ทำงานล้มเหลว เสนอตั้งศูนย์ติดตามคนหายอย่างเป็นระบบ

มูลนิธิกระจกเงาแถลงครบรอบ 2 ปี การหายตัวไปของน้องจีจี้  ชี้สตช.ทำงานล้มเหลว เสนอตั้งศูนย์ติดตามคนหายอย่างเป็นระบบ

จี้สตช.เร่งหาตัวน้องจีจี้

ที่มูลนิธิกระจกเงา ซอยวิภาวดี 62วันนี้ (13 ก.ย. 55) ศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงาได้จัดแถลงข่าว ครบรอบ 2 ปี การหายตัวไปของเด็กหญิงวัย 9 ขวบที่สระบุรี "2 ปีกับการตามหาน้องจีจี้ที่หายไป" โดยมีครอบครัวของน้องจีจี้เข้าร่วมแถลงข่าวในครั้งนี้ด้วย

นางมณี กองชุม แม่น้องจีจี้กล่าวถึงลำดับการหายตัวไปของน้องจีจีว่า เมื่อก่อนครอบครัวเราร้อยพวงมาลัยขายที่ปั๊มน้ำมันปตท.ริมถนนมิตรภาพ อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี  น้องจีจี้เป็นเด็กดีจะมาช่วยแม่ขายพวงมาลัยทุกวันหลังเลิกเรียน เราก็ให้ช่วยเมื่อตอนน้องว่าง น้องจะวิ่งไปขายให้กับรถที่มาจอดเติมน้ำมันบ้าง คนที่เข้ามาใช้บริการในปั๊มน้ำมันบ้าง ซึ่งทุกครั้งก็ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น จนมาถึงวันที่ 18 กันยายน พ.ศ.2553 ตนเห็นน้องจีจี้คลาดสายตาไปประมาณ 15 นาที เลยเริ่มเอะใจว่าทำไมน้องหายไปนานจึงเริ่มออกตามหา ซึ่งจากการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด ที่บันทึกภาพไว้ได้เป็นครั้งสุดท้าย คือเวลา 19.16 น. เมื่อเราแน่ใจว่าน้องหายไปแน่แล้วก็รีบเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสภอ.แก่งคอย  แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับไม่รับแจ้งและบอกกับเราว่าเด็กหายตัวไปยังไม่ครบ 24 ชั่วโมง

“ตำรวจไม่ได้ลงพื้นที่อะไรเลย บอกกับเราแค่ว่าลูกของเราไปบ้านเพื่อนหรือไปบ้านแฟนหรือเปล่า ตอนนั้นเราเสียใจมากลูกเราแค่ 9 ขวบแต่เจ้าหน้าไม่ช่วยหาซ้ำยังบอกว่าไม่อยู่กับแฟน เราไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะตอนนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ช่วยอะไรเราเลย ถ้ามีกระบวนการในการการตามหาอย่างทันท่วงทีอาจจะทำให้ได้เบาะแสน้องจนนำไปสู่การช่วยเหลือน้องอย่างทันท่วงทีก็ได้ ต่อมาเราได้รับการติดต่อจากศูนย์ข้อมูลคนหายมูลนิธิกระจกเงามาช่วยตามหาน้องจนถึงปัจจุบันนี้ 2 ปีแล้วก็ยังไม่พบตัว เราหวังทุกวันว่าจะพบลูกเรา อยู่ด้วยความหวังว่าลูกจะรอดและกลับมาหาเราสักวันหนึ่ง อยากให้ลูกเราเป็นรายสุดท้ายที่หายตัวไปแบบนี้ และอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใส่ใจในคดีเด็กหายและลงสืบสวนเมื่อเด็กหายไปไม่ใช่ให้เหตุผลว่าต้องรอ 24 ชั่วโมง ที่สำคัญคืออยากให้นำคดีของน้องจีจี้กลับมาติดตามอีกครั้งเพราะตอนนี้ก็ไม่มีการดำเนินการใดๆ จากเจ้าหน้าที่ตำรวจเลย”แม่น้องจีจี้กล่าว

ด้านนายสมบัติ บุญงามอนงค์ รักษาการประธานมูลนิธิกระจกเงากล่าวว่า  มูลนิธิกระจกเงาทำงานเรื่องคนหายมาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี ปัญหาคนหายไม่ใช่ปัญหาที่เกิดขึ้นใหม่ แต่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคมสูง มูลนิธิกระจกเงาเป็นกระจกบานใหญ่ที่สะท้อนปัญหานี้มาเป็นระยะเวลานาน  เราเคยเสนอให้หน่วยงานภาครัฐรับเอาปัญหานี้ไปอยู่ในการดูแล ซึ่งขนาดปัญหามันใหญ่มาจนเราไม่สามารถสู้โดยลำพังได้จนต้องทำการปิดศูนย์ข้อมูลคนหายไปเมื่อปีที่แล้ว โดยหลังจากที่ปิดศูนย์ข้อมูลคนหายไปแล้วเราก็ยังได้รับโทรศัพท์การแจ้งเรื่องคนหายอยู่ทุกวัน เราจึงต้องประคับครองปัญหานี้อยู่ เรายังมีความหวังว่าภาครัฐและหน่วยงานทีเกี่ยวข้องจะเข้ามามีบทบาทในการดูแลเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรมและจริงจังเสียที

ด้านนายเอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์มูลนิธิกระจกเงาสะท้อนปัญหาของกระบวนการยุติธรรมเกี่ยวกับการตามหาคนหายในประเทศไทยว่า กระบวนการยุติธรรมไทยมีจุดอ่อนในการตามหาคนหายหลายเรื่อง เริ่มตั้งแต่กระบวนการรับแจ้งความคนหายที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ยอมรับแจ้งความอย่างทันท่วงทีโดยอ้างว่ายังหายไปไม่ครบ 24 ชั่วโมง ทั้งๆ  ที่ระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดีลักษณะคนหายพลัดหลงได้ระบุชัดเจนว่าตำรวจต้องรับแจ้งความโดยไม่มีเงื่อนไขด้านเวลาที่หายไป ซึ่งหากมีการรับแจ้งความและจัดทีมเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สืบสวนโดยเร็ว อาจติดตามตัวน้องจีจี้หรืออีกหลายคนที่หายไปได้อย่างทันท่วงที

หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์มูลนิธิกระจกกล่าวอีกว่า นอกจากนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีการจัดการความรู้เกี่ยวกับปัญหาคนหายในประเทศไทยเพื่อทำให้ทราบถึงสาเหตุและวิธีการในการติดตามหา โดยเราได้จัดข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมเพื่อให้สำนักงานตำรวจแห่งชาตินำไปปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมดังนี้ 1.สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ควรตั้งชุดเฉพาะกิจเพื่อรื้อคดี และทำการสืบสวนติดตามหาน้องจีจี้ใหม่ทั้งหมด โดยควรบูรณาการร่วมกันระหว่างกองบัญชาการตำรวจภูธรทุกภาค  2.สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  ควรปรับเปลี่ยนทัศนคติของผู้ปฏิบัติงานต่อการรับแจ้งความคนหาย  กรณีคนหายที่เป็นเด็ก หรือการหายตัวไปที่เข้าข่ายถูกค้ามนุษย์ เจ้าหน้าที่ตำรวจควรรับแจ้งความทันที   โดยไม่ต้องรอให้หายตัวไป ครบ  24 ชม.ก่อน  และต้องมีกระบวนการสืบสวนติดตามที่มีประสิทธิภาพในทันที ตลอดจนมีความต่อเนื่องในการติดตามหา

นายเอกลักษณ์กล่าวถึงข้อเสนอข้อที่3.ว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ควรมีการจัดการความรู้เกี่ยวกับคดีลักพาตัวเด็กในประเทศ เพื่อให้เห็นแผนประทุษกรรมและลักษณะของการกระทำความผิด  สำหรับเป็นแนวทางในการป้องกันและปราบปรามกรณีลักพาตัวเด็กต่อไปในอนาคต4.ในระยะสั้นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ   ควรจัดตั้งคณะทำงานหรือแผนกติดตามคนหาย ในพื้นที่กองบังคับการภูธรจังหวัด  กองบัญชาการตำรวจนครบาล  และกองบัญชาการตำรวจภูธรภาคต่างๆ เพื่อให้คำปรึกษา และสืบสวนติดตามกรณีคนหาย โดยควรทำงานประสานร่วมกับศูนย์ประชาบดี กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์5.รัฐควรจัดให้มีการประชาสัมพันธ์และเปิดพื้นที่ให้มีการเผยแพร่ภาพเด็กหาย ในสื่อที่รัฐกำกับดูแลอย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง 

6.สำนักงานตำรวจแห่งชาติควรพิจารณาจัดตั้ง ศูนย์ติดตามคนหายแห่งประเทศไทยเพื่อบริหารจัดการปัญหาคนหายในประเทศไทยอย่างเป็นระบบ โดยการบูรณาการร่วมกันระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ องค์กรพัฒนาเอกชน และสื่อมวลชน และ 7.รัฐควรพิจารณาปรับปรุงแก้ไขระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดีลักษณะคนหายพลัดหลง  และผลักดันให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการติดตามคนหายในประเทศไทย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแถลงข่าวในครั้งนี้ศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์มูลนิธิกระจกเงาได้นำเสนอสถิติการรับแจ้งเหตุตั้งแต่ปี 2547 ถึงปัจจุบันพบว่ามีการรับแจ้งคนหายทั้งสิ้น 2,543 คน เป็นชาย 840 คน หญิง 1,703  โดยการรับแจ้งเหตุในปัจจุบันเด็กอายุระหว่าง 11-15 ปี เป็นกลุ่มที่หายออกจากบ้านมากที่สุด โดยสาเหตุของการหายออกจากบ้านส่วนใหญ่คือเด็กที่สมัครใจหนีออกจากบ้าน ซึ่งตลอด 9 ปีที่ผ่านมา มีเด็กถูกลักพาตัวทั้งสิ้น 65 ราย ซึ่งเด็กที่เสี่ยงต่อการถูกลักพาตัวคือเด็กอายุ 4 ขวบ