posttoday

โพลเผยคนเชื่อทำบุญช่วยล้างบาปทุจริตได้

26 สิงหาคม 2555

มจร.เผยผลวิจัยชี้ ชาวพุทธ เชื่อทำบุญบริจาค ลดบาปจากการทุจริต-คอร์รปชันได้ บางส่วนไม่เชื่อทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว

มจร.เผยผลวิจัยชี้ ชาวพุทธ เชื่อทำบุญบริจาค ลดบาปจากการทุจริต-คอร์รปชันได้ บางส่วนไม่เชื่อทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว

โพลเผยคนเชื่อทำบุญช่วยล้างบาปทุจริตได้

เมื่อวันที่ 26 ส.ค. ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย(มจร.) อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา มจร. ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) และภาคีวิจัย จัดงาน “สัมมนาผลงานวิจัยและวิทยานิพนธ์ดีเด่นประจำปี 2555” และแถลงผลวิจัย “ความเชื่อเรื่องกรรมในวิถีชีวิตของสังคมไทย” 

นายวุฒินันท์ กันทะเตียน นักวิจัย บัณฑิตวิทยาลัย มจร. เปิดเผยว่า การสำรวจความเห็นชาวไทยพุทธทั่วประเทศ 1,110 คน พบส่วนใหญ่ 90.2% ยังมีความเชื่อเรื่องกรรมดีกรรมชั่ว แต่มีบางส่วนไม่แน่ใจในผลของการกระทำ โดย 66.5% เชื่อว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” 18.2% เชื่อว่า “ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป” ขณะที่ 15.3% ไม่แน่ใจ

ส่วนความเชื่อและการปฏิบัติเรื่องกรรมในชีวิตประจำวันพบว่า มีเรื่องที่เชื่อมากที่สุดเพียงเรื่องเดียวคือคนรังแกสัตว์/เบียดเบียนผู้อื่นทำให้มีโรคภัยเบียดเบียนสูงถึง 79% ส่วนเรื่องการตัดกรรม 51.4% ไม่เชื่อว่าเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ อีก 19% เชื่อ ส่วน 24.1% ไม่แน่ใจ  ทำให้เรื่องนี้ยังเป็นที่นิยมในสังคมไทย โดยกิจกรรมหรือพฤติกรรมที่เลือกปฏิบัติเพื่อลดกรรม 5 อันดับแรก ได้แก่ สนทนาธรรมกับพระสงฆ์ 25.5% ถวายสังฆทาน 21.8% ให้ทานแก่คนขอทาน 21.1% ถืออุโบสถศีลในวันพระ 20.8% และบวชเนกขัมมะ/ชีพราหมณ์ 12.1%

“ที่น่าตกใจคือ เรื่องการทุเลาเบาบางผลของกรรม มีคนไทยถึงร้อยละ 21.1 เชื่อว่าการทำชั่ว เช่น การทุจริต ฉ้อโกง หรือการคอรัปชั่น สามารถลดทอนกรรมได้ด้วยการทำบุญบริจาค ขณะที่ 26% เชื่อว่าการดื่มสุราไม่เป็นกรรมชั่วเพราะไม่ได้เบียดเบียนผู้อื่น ซึ่งทั้ง 2 เรื่องนี้เป็นพฤติกรรมเชิงจริยธรรมที่เป็นประเด็นปัญหาของสังคมไทยในปัจจุบัน โดยเป็นความพยายามหาเหตุผลเข้าข้างพฤติกรรมของตนเอง หรือหาวิธีปรับจากผิดให้เป็นถูก”นายวุฒินันท์ กล่าว

พระสุธีธรรมานุวัตร (เทียบ สิริญาโณ) คณบดีคณะพุทธศาสตร์ มจร. กล่าวว่า ผลการวิจัยดังกล่าว สะท้อนพฤติกรรมคนไทยในปัจจุบัน ที่แม้จะเชื่อเรื่องกรรม แต่มีมุมมองเปลี่ยนไปจากเดิม ซึ่งไม่ถูกต้อง ทำให้ประเทศไทยได้ชื่อว่ามีการทำนุบำรุงพุทธศาสนามากที่สุดในโลก และมีขอทานจำนวนมาก เนื่องจากคนส่วนใหญ่นิยมทำบุญด้วยการให้ทาน เพราะคิดว่าเป็นการก่อกรรมดีและมีส่วนช่วยทุเลาเบาบางผลของกรรมชั่วที่ได้กระทำทั้งปัจจุบันและชาติก่อน ซึ่งตามหลักพุทธศาสนา สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว หากทุจริต ฉ้อโกง แล้วทำเงินไปบริจาค ก็ถือว่าทรัพย์ที่ได้มาไม่บริสุทธิ์ ย่อมไม่ได้อานิสงส์จากการทำบุญเหมือนกับทรัพย์ที่หามาได้โดยการประกอบอาชีพโดยสุจริตแน่นอน

ด้าน พระมหาสุทิตย์ อาภากโร ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ มจร. ในฐานะผู้ผลักดันการวิจัยของ มจร. กล่าวว่า ถึงเวลาที่สังคมไทยต้องใส่ใจกับการปฏิบัติที่ถูกต้อง เห็นผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก ไม่โอนอ่อนตามกระแสวัตถุและอำนาจของเงินตรา เรียนรู้อย่างจริงจังเพื่อนำพาสังคมไปสู่ความดีงาม สร้างสังคมให้ดีด้วยปัญญา

ทั้งนี้มจร. พยายามผลักดันเรื่องนี้ผ่านการวิจัยใน 4 ประเด็น ได้แก่ 1.คัมภีร์ หลักธรรม เพื่อสร้างองค์ความรู้ด้านหลักพระพุทธศาสนาที่ถูกต้อง 2.การประยุกต์หลักธรรมทางพุทธศาสนาเพื่อแก้ไขปัญหาและพัฒนาสังคม 3.การวิจัยทางด้านพุทธศาสนาเพื่อการเชื่อมโยงเครือข่ายองค์กรพุทธศาสนา การบริหารองค์กรสงฆ์ และ 4.การวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ของมหาวิทยาลัย ซึ่งปัจจุบันงานวิจัยมีโน้มเพิ่มขึ้น และนำไปสู่การปฏิบัติจริง เช่น การวิจัยคัมภีร์ หลักธรรม ได้นำไปจัดทำหนังสือเรียนด้านพุทธศาสนาในสถานศึกษาทุกระดับ การอบรมพระธรรมทูตเพื่อไปเผยแผ่พุทธศาสนาประจำวัดไทยในประเทศต่างๆ ทั่วไป เป็นต้น