จี้รัฐหนุนชุมชนผลิตพลังงานหมุนเวียน
ภาคประชาชน-เอกชน จี้รัฐปลดแอกจากกลุ่มทุนพลังงาน สนับสนุนชุมชนผลิตพลังงานหมุนเวียน
ภาคประชาชน-เอกชน จี้รัฐปลดแอกจากกลุ่มทุนพลังงาน สนับสนุนชุมชนผลิตพลังงานหมุนเวียน
ณัฐวิภา
น.ส.ณัฐวิภา อิ้วสกุล ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กรีนพีซ เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า เหตุที่รัฐต้องออกกฎหมายพลังงานหมุนเวียน เนื่องจากต้องยอมรับว่าเรายังคงต้องใช้ไฟฟ้า แต่ทำอย่างไรที่จะใช้ปฏิวัติการใช้ไฟฟ้าจากแหล่งเดิมๆ เปลี่ยนมาเป็นการใช้ไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและปลอดภัยและมีต้นทุนการผลิต ที่ถูกกว่า เราอยากเห็นในอนาคตที่มีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ และ พลังงานลมอย่างมีประสิทธิภาพ ต้องการให้รัฐบาลหลุดพ้นจากกลุ่มทุนด้านพลังงานด้วย เพราะขณะพี้พลังงานหมุนเวียนที่ผลิตในประเทศไทยมีสูงกว่า8,000 เมกะวัตต์แล้ว ซึ่งเกือบจะถึง 25% ของการใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมดของประเทศที่รัฐตั้งเป้าหมายไว้แล้ว
ทั้งนี้รัฐจึงควรออกกฎหมายพลังงานหมุนเวียนเพื่อทำให้กลไกต่างๆ ในการผลิตพลังงานหมุนเวียนและทำประชาชนเข้าถึงพลังงานสะอาดมากได้ง่ายขึ้น
ส่วนที่มีการระบุว่าพลังงานหมุนเวียนทำให้มีค่าใช้จ่ายมากขึ้นนั้น เรื่องนี้ทุกวันนี้เทคโนโลยีมีราคาแพง เพราะยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ ส่วนที่มองว่าถ่านหินมีต้นทุนที่ถูกนั้นไม่เป็นความจริง เนื่องจากไม่มีการมองถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตที่ไม่สามารถประเมินค่าได้ ดังนั้น โรงไฟฟ้าถ่านหินจึงมีต้นทุนต่อหน่วยสูงกว่าพลังงานหมุนเวียนแน่นอน
ด้าน นายยุทธการ มากพันธุ์ ตัวแทนศูนย์กสิกรรมท่ามะขามจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นศูนย์ศึกษาทดลองพลังงานหมุนเวียนฉบับไทย กล่าวในระหว่างเข้าร่วมงาน “มหกรรมปฏิวัติพลังงานผ่านกฎหมายพลังงานหมุนเวียน” ของกรีนพีซว่า อยากให้รัฐบาลออกกฎหมายพลังงานหมุนเวียน เนื่องจากประเทศไทย เป็นประเทศเกษตรกรรมและมีวัตถุดิบพร้อม แต่ขาดการส่งเสริมเรื่องการลงทุน เพราะการลงทุนแม้แต่ในขนาดเล็กต้องเป็นหลักล้านขึ้นไป ซึ่งเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่มีเงินทุนที่จะทำได้ ทำให้กลุ่มทุนเข้ามาลงทุนแทนเพื่อแสวงหากำไร ทำให้เกิดความขัดแย้งในพื้นที่ซึ่งทำให้นักอนุรักษ์เสียชีวิตไปหลายคน เพราะคนในพื้นที่ดูแลทรัพยากรมาก่อน อีกทั้งยังมีเรื่องความไม่โปร่งใสในเรื่องการออกนโยบายด้วย เรื่องเหล่านี้ทำให้โครงการพลังงานหมุนเวียนในแต่ละพื้นที่เป็นไปได้ช้ามาก
“ผมอยากเห็นกฎหมายที่ให้ชุมชนเป็นเจ้าของประโยชน์ทั้งหมดโดยเป็นกลุ่มหรือบริษัทของชาวบ้านเอง เพราะชาวบ้านสามารถทำได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ไบโอแก๊ส หรือโรงไฟฟ้าพลังงานแกลบ โดยทุกวันนี้รัฐเสียงบประมาณจากการนำเข้าพลังงานสูงมาก รัฐน่าจะนำเงินตรงนี้มาส่งเสริมชาวบ้านให้มีความรู้ และ อำนวยความสะดวกให้ชาวบ้านในเรื่องการลงทุนน่าจะมีประโยชน์มากกว่า”นายยุทธการ กล่าว
นายยุทธการกล่าวว่า ถ้ารัฐออกกฎหมายที่ส่งเสริมเรื่องเหล่านี้อย่างจริงจังประชาชนที่มีใจจะทำเรื่องนี้อยู่แล้วเอาด้วยแน่นอน โดยรัฐควรสนับสนุนเรื่องเทคโนโลยี เงินทุน มีแผนให้ชัดเจน 5-10 ปีต้องทำอะไรบ้าง เพื่อให้ประชาชนได้เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริง อีกทั้งกฎหมายที่ออกมาต้องมีการบูรณาการ โดยทั้งสนับสนุนให้มีการผลิตพลังงานหมุนเวียน รวมทั้งต้องสนับสนุนและมีการรับซื้อด้วย ไม่ใช่ผลิตออกมาแล้วไม่มีคนซื้อ ดังนั้นกฎหมายต้องมีเอกภาพ
ด้าน นายสมชาย นิติกาญจนา เจ้าของฟาร์มสุกร เอสพีเอ็ม ฟาร์ม ซึ่งเป็นฟาร์มที่มีการผลิตพลังงานหมุนเวียนครบวงจร โดยการนำขี้หมูมาผลิตไบโอแก๊ส กล่าวว่า พลังงานหมุนเวียนมีต้นทุนที่แพงกว่าพลังงานฟอสซิลที่ใช้กันตอนนี้ เพราะพลังงานหมุนเวียนมีต้นทุนในการบำบัดของเสียให้เป็นประโยชน์และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมและมององค์รวมว่าใครได้อะไรบ้าง
นอกจากนี้ต้องส่งเสริมให้มีการซื้อไฟต้องไม่มีการกีดกัน โดยจำกัดโควตาและมีราคาเป็นธรรม การขอใบอนุญาตต้องทำให้ง่ายเพราะประโยชน์เกิดกับประเทศชาติ การลงทุนควรเป็นโรงงานขนาดใหญ่เพื่อให้เกิดการคุ้มทุนให้ชาวบ้านสามารถผลิตร่วมกันได้ อีกทั้งมหาวิทยาลัยต้องให้ความรู้และการพัฒนา เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนและอยอดภูมิปัญญาเดิมด้วย
“เราต้องคิดว่า หากน้ำมัน แก็ส หมด เราจะอยู่กันอย่างไร ประเทศไทยมีศักยภาพที่สูงมาก แต่ตอนนี้ไม่มีความชัดเจนว่าคนที่ต้องการลงทุนเรื่องนี้จะได้อะไร ดังนั้น ต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วม ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง และต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า เราจะมีพลังงานทดแทนเท่าใด หากทำไม่ได้ต้องมีการลงโทษเจ้าหน้าที่เพื่อให้มีผู้รับผิดชอบ” นายสมชาย กล่าว
ด้าน น.ส.กรณ์กนิศ แสงดี ตัวแทนจากโรงงานอำพล ฟู๊ด ซึ่งมีการนำเศษอาหารมาผลิตเป็นพลังงานหมุนเวียน กล่าวว่า ในฐานะตัวแทนของภาคอุตสาหกรรม อยากให้มีการมองในองค์รวมว่าพลังงานทดแทนที่จะทำในประเทศคืออะไร ผลประโยชน์และผลกระทบไปอยู่ที่กลุ่มไหนบ้าง อีกทั้งอยากให้ภาครัฐมาทำงานร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่ดูแลเรื่องมลพิษ เรื่องความปลอดภัยและฝ่ายสนับสนุนให้ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องมีทิศทางไปในทางเดียวกัน เพื่อไม่ให้เกิดความลักลั่นในการบังคับใช้กฎหมาย และมีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน และต้องให้ประชาชน เอกชน วิชาการมีส่วนร่วม
ขณะที่ น.ส.สุขุมาวดี ทองคำ นักวิจัยเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ในการศึกษาวิจัยของตนเอง ได้ตั้งคำถามว่า “คนจะยินดีจ่ายค่าไฟฟ้าเพิ่มหรือไม่ ถ้าไฟฟ้าที่ใช้สามารถลดภาวะโลกร้อนได้” โดยส่วนใหญ่ 73% ระบุว่า ยินดีที่จะจ่ายเพิ่ม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนประชาชนสนับสนุนพลังงานสะอาด
"คนไทยตื่นตัวกับภาวะโลกร้อน โดยเฉพาะในต่างจังหวัด แต่ปรากฎว่าคนกรุงเทพฯ ซึ่งมีการใช้ไฟฟ้า40% ของการใช้ไฟฟ้าทั้งหมด กลับเป็นกลุ่มที่น้อยที่สุดกับการเห็นต้องจ่ายเพิ่มเพื่อพลังงานสะอาด แต่ภาพรวมคนส่วนใหญ่ยอมจ่ายแพงกว่าหากได้พลังงานที่สะอาดเพื่อลดภาวะโลกร้อน"น.ส.สุขุมาวดีกล่าว
ทั้งนี้กรีนพีซจะจัดสัมมนาปิดท้ายมหกรรมพลังงานหมุนเวียน ในวันเสาร์ที่ 18 ส.ค. นี้ ที่ โดมกู้วิกฤตโลพร้อน ลานราชมังคลากีฬาสถาน หัวหมาก ตั้งแต่เวลา 15.00 – 20.00 น. โดยในเวลา 16.00-17.45 น.