ร้องกองปราบแก๊งสีกาถ่ายรูปแบล็คเมล์พระ

แก๊งสีกาฉวยโอกาสพระเผลอกระโดดกอดถ่ายรูปแบล็คเมล์รีดไถเงิน

ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายรวมพลังต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา กษัตริย์ทางเฟสบุ๊ค และพระสมุห์แสวง พระลูกวัดยานยาวา เดินทางมายื่นหนังสือถึง พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผบก.ป.เพื่อร้องทุกข์ขอให้ บก.ป.สืบสวนรวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับกลุ่มขบวนการสีกาที่กล่าวหาพระภิกษุสงฆ์ของวัดชื่อดังทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดว่าล่วงละเมิดทางเพศ เป็นการผิดวินัยสงฆ์ร้ายแรงและผิดกฎหมายอาญา ทั้งที่ไม่เป็นความจริง จากนั้นได้ทำการแบล็คเมล์เพื่อเรียกเงินจากพระภิกษุที่ถูกกล่าวหาหรือเจ้าอาวาสวัดเพื่อแลกกับการไม่ดำเนินคดีหรือไม่นำเรื่องไปเปิดเผยให้ได้รับความเสียหาย

นายสงกานต์ กล่าวว่า เมื่อเดือนพ.ย. 2554 พระสมุห์แสวง พระวัดยานนาวา ได้ถูกสีการายหนึ่ง อายุ 40 ปี แจ้งความดำเนินคดีข้อหา ข่มขืนกระทำชำเราภายในบ้านพักของสีกาคนดังกล่าว ที่ สภ.ศรีเมืองใหม่ จ.อุบลราชธานี นอกจากนี้ยังส่งจดหมายกล่าวหาพระสมุห์แสวงถึงพระพรหมวชิรญาณ เจ้าอาวาสวัดยานนาวา ข่มขู่เรียกรับเงินเป็นจำนวนมาก ซึ่งเรื่องดังกล่าวมีการเผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์ แต่พระสมุห์แสวงพร้อมถูกตรวจสอบทั้งทางวินัยสงฆ์และคดีอาญา พระพรหมวชิรญาณจึงให้มีการดำเนินการทางกฎหมายกับสีกาคนดังกล่าวจึงมีการแจ้งความกลับเพื่อดำเนินคดีกับสีกาคนดังกล่าวข้อหา แจ้งความเท็จเพื่อให้ผู้อื่นรับโทษทางอาญา หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และละเมิด ทั้งหมด 6 คดี ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาที่ศาลอาญา รัชดาภิเษก ศาลแพ่งรัชดาภิเษก ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลแพ่งกรุงเทพใต้  และศาลจังหวัดอุบลราชธานี

 นายสงกานต์ กล่าวอีกว่า เมื่อวันที่ 31 ก.ค. ที่ผ่านมา ศาลแพ่ง รัชดาภิเษก ได้มีคำพิพากษาชั้นต้น ให้สีกาคนดังกล่าวนำคำพิพากษาลงโฆษณาขอขมาพระสมุห์แสวงติดต่อกันเป็นเวลา 3 วัน ส่วนคดีที่ศาลอุบลราชธานีจะมีคำพิพากษาวันที่ 9 ส.ค. นี้ ในขณะที่ศาลอาญากรุงเทพใต้จะมีการพิพากษาวันที่ 30 ส.ค.เช่นกัน

อย่างไรก็ตามจากกรณีที่เกิดขึ้นได้รับการประสานจากคณะสงฆ์มาว่าที่ผ่านมามีกรณีลักษณะนี้เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะพระภิกษุทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยจะมีสีกากลุ่มหนึ่งทำทีเข้าไปทำบุญที่วัดเพื่อตีสนิทกับพระภิกษุสงฆ์ จากนั้นก็มีการกระโดดกอดหรือถ่ายภาพร่วมกันเอาไว้เพื่อร้องเรียนหรือแจ้งความดำเนินคดีกล่าวหาพระภิกษุสงฆ์ทั้งที่ไม่เป็นความจริงเพื่อแบล็คเมล์เรียกรับผลประโยชน์จากพระสงฆ์ที่ถูกกล่าวหาหรือจากเจ้าอาวาสวัดนั้นๆทำให้พระพุทธศาสนาเสียหาย ซึ่งหากพบว่าภิกษุกระทำผิดจริงก็จับสึกทันทีแต่หากไม่ผิดก็ให้ดำเนินคดีกลับเพื่อพิสูจน์ความจริง และดำเนินคดีกับขบวนการเหล่านี้ให้ถึงที่สุดจึงต้องมาร้องทุกข์ต่อตำรวจ บก.ป.ให้ช่วยสืบสวนตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวอีกทาง