ธุรกิจไทยขอนโยบายการเมือง เลือกเกษตรกรรมเป็นจุดแข็ง พลิกเศรษฐกิจ
ผู้ประกอบการไทย ฝากพรรคการเมืองที่จะขึ้นเป็นรัฐบาลใหม่ปี 69 ปรับโฟกัสจากทุ่มดิจิทัลเทคฯ ด้านเดียว หันมาหนุน Bio-based ดึงเกษตรขึ้นห่วงโซ่มูลค่าโลก จุดแข็งประเทศ
ท่ามกลางความคาดหวังต่อ “จุดเปลี่ยนประเทศไทย” หลังการเลือกตั้งวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 ทุกสายตากำลังจับจ้องไปที่ทิศทางนโยบายของพรรคการเมือง โดยเฉพาะจากภาคธุรกิจที่วันนี้ขับเคลื่อนด้วยผู้ประกอบการรุ่นใหม่จำนวนมาก ซึ่งกำลังรอคำตอบว่า รัฐบาลหลังเลือกตั้งจะเลือกต่อยอด “จุดแข็งของประเทศ” หรือเดินซ้ำรอยเดิม
“โพสต์ทูเดย์” ได้สัมภาษณ์ นายภัทรพงษ์ พลเสน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไบโอเมดอินโนเวชั่น จำกัด ผู้ประกอบการด้านนวัตกรรมสินค้าสุขภาพ ซึ่งสะท้อนมุมมองและความคาดหวังต่อพรรคการเมืองที่จะก้าวขึ้นมาเป็นรัฐบาลใหม่ โดยชี้ชัดว่า ถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องหันกลับมาให้ความสำคัญกับ “ภาคเกษตร” ในฐานะฐานรากทางเศรษฐกิจ และผลักดันให้เติบโตด้วยนวัตกรรมและการสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างจริงจัง
นายภัทรพงษ์ มองว่า รัฐบาลชุดใหม่ ไม่ว่าจะมาจากพรรคใดอยากให้พัฒนาประเทศด้วยการปรับจุดเน้นจากการทุ่มงบประมาณไปที่ Digital Tech เพียงด้านเดียว มาให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจ Bio-based มากขึ้น โดยชี้ว่า “ฐานรากที่แท้จริงของประเทศไทยคือภาคเกษตรกรรม” ซึ่งครอบคลุมทั้งสมุนไพรและพืชพรรณหลากหลายชนิด หากได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจัง จะสามารถกระจายรายได้ไปสู่คนส่วนใหญ่ของประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม
ขณะเดียวกัน รัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ควรผลักดันการสร้าง มูลค่าเพิ่ม (Value-added) แทนการจำหน่ายวัตถุดิบในราคาต่ำ ตัวอย่างเช่น การไม่ขายเพียงแค่แป้งข้าว แต่ต่อยอดด้วยการสกัดสารสีหรือสารสำคัญจากข้าว เพื่อนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง ซึ่งจะช่วยยกระดับศักยภาพสินค้าเกษตรไทยได้อย่างก้าวกระโดด
อีกหนึ่งกลไกสำคัญคือการ ส่งเสริม SME ในฐานะ “เฟืองเชื่อมต่อ” งานวิจัยกับตลาด โดยภาครัฐควรจัดสรรงบประมาณสนับสนุนงานวิจัยที่มุ่งเน้นการนำไปใช้เชิงพาณิชย์ พร้อมเปิดโอกาสให้ SME เข้ามามีบทบาทเป็นตัวกลาง เนื่องจากนักวิจัยจำนวนมากขาดทักษะด้านการค้า ขณะที่ SME มีความเข้าใจตลาด สามารถนำผลงานวิจัยจาก “หิ้ง” ออกสู่ “ห้าง” และทำให้ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนได้จริง
นอกจากนี้ นายภัทรพงษ์ ยังเห็นว่ารัฐควรสนับสนุนเงินทุนในช่วง การขยายตัว (Scale-up) ไม่ใช่จำกัดอยู่เพียงการวิจัยในห้องแล็บ แต่ครอบคลุมถึงการพัฒนาสูตร การทดสอบตลาด และการวิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ใช้งานจริง เพื่อเพิ่มความพร้อมให้ผลิตภัณฑ์สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้
ในฐานะผู้ประกอบการที่พัฒนานวัตกรรมจากภาคเกษตร นายภัทรพงษ์ ชี้ว่าอุปสรรคสำคัญของประเทศไทยคือการขาดเทคโนโลยีการสกัดสารสำคัญคุณภาพสูง ทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้อย่างเต็มที่ ภาครัฐจึงควรสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเข้าถึงเครื่องมือและเทคนิคการสกัดที่ทันสมัย เพื่อควบคุมคุณภาพและปริมาณสารออกฤทธิ์ให้ได้มาตรฐานสากล
พร้อมกันนี้ ยังเสนอให้รัฐบาลทำหน้าที่เป็นหัวหอกในการ ผลักดันสินค้านวัตกรรมไทยสู่ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะการช่วยปลดล็อกขั้นตอนด้านมาตรฐานและการขึ้นทะเบียนในต่างประเทศ เช่น จีน ซึ่งมีความซับซ้อนและเป็นอุปสรรคใหญ่ของ SME หากรัฐสามารถลดกำแพงเหล่านี้ได้ จะช่วยเปิดโอกาสให้สินค้านวัตกรรมจากข้าวและภาคเกษตรไทยขยายตัวในตลาดโลกได้มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ไบโอเมด ดันวิจัยจากหิ้งสู่ห้าง
บริษัท ไบโอเมดอินโนเวชั่น จำกัด เกิดจากการรวมตัวของคนรุ่นใหม่ที่มีเป้าหมายชัดเจนในการผลักดันงานวิจัยจาก “หิ้ง” สู่ “ห้าง” ด้วยการแสวงหาและนำองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์
จุดเริ่มต้นคือการพัฒนา เครื่องดื่มนวัตกรรมน้ำข้าวกล้องสินเหล็กรสพีชน้ำผึ้ง ภายใต้แบรนด์ วีไลท์ (Velight) ซึ่งออกแบบมาเพื่อดูแลสุขภาพผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย ก่อนจะต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ตัวที่สอง ได้แก่ เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ นมข้าวอัลมอนด์ ที่ช่วยสร้างการรับรู้และขยายฐานผู้บริโภคของแบรนด์วีไลท์ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น
จากความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนานวัตกรรมอาหารเพื่อสุขภาพ ได้ขยายพอร์ตโฟลิโอไปสู่กลุ่มความงาม ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์สกินแคร์ ไนท์ครีม ภายใต้แบรนด์ RISEKIN เพื่อต่อยอดคุณค่าจากวัตถุดิบและงานวิจัยสู่ตลาดไลฟ์สไตล์สุขภาพอย่างครบวงจร


