“ฝรั่งสามพราน” GI หนึ่งเดียวของไทย ทำรายได้ปีละกว่า 350 ล้านบาท
ฝรั่งสามพราน สินค้า GI ที่สร้างรายได้ให้เกษตรกรและผู้ประกอบการในชุมชนกว่า 350 ล้านบาทต่อปี กรมทรัพย์สินทางปัญญาเดินหน้าสนับสนุนขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ
KEY
POINTS
- ฝรั่งสามพรานเป็นสินค้า GI ที่สร้างรายได้ให้เกษตรกรและผู้ประกอบการในชุมชนกว่า 350 ล้านบาทต่อปี
- โดยการขึ้นทะเบียน GI ช่วยยกระดับมาตรฐานและควบคุมคุณภาพ ส่งผลให้ราคาขายปลีกปรับเพิ่มเป็น 50–70 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมเฉลี่ย 30 บาท
- กรมทรัพย์สินทางปัญญาเดินหน้าสนับสนุนการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ ตั้งเป้าผลักดันฝรั่งสามพรานสู่เวทีสากลในปี 2569
สินค้าอัตลักษณ์ที่สร้างชื่อระดับประเทศ “ฝรั่งสามพราน” ผลไม้ GI หนึ่งเดียวของไทย กลายเป็นกลไกสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน สร้างรายได้ให้เกษตรกรและผู้ประกอบการกว่า 350 ล้านบาทต่อปี หลังกรมทรัพย์สินทางปัญญาเดินหน้ายกระดับมาตรฐาน คุมคุณภาพ และขยายตลาดทั้งออฟไลน์–ออนไลน์ เตรียมต่อยอดสู่เวทีสากลในปี 2569
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า สินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) คือสินค้าที่มาจากแหล่งผลิตที่เฉพาะเจาะจง มีความเชื่อมโยงกับภูมิศาสตร์ ภูมิปัญญาท้องถิ่น ส่งผลให้สินค้ามีอัตลักษณ์พิเศษเฉพาะตัว มีชื่อเสียง และเป็นที่รู้จักในวงกว้าง
ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและพัฒนาสินค้า GI เพราะถือได้ว่าเป็นผลผลิต ที่มีอัตลักษณ์ที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าชุมชน และสร้างรายได้ยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและผู้ประกอบการในท้องถิ่น แนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบาย Quick Big Win ของนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่มุ่งเสริมสร้างศักยภาพทางการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการท้องถิ่น และผลักดันให้ภาคธุรกิจไทยนำระบบ GI มาใช้เป็นแต้มต่อในการเพิ่มมูลค่าสินค้า พร้อมขยายโอกาสสู่ตลาดสากล ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญที่นำไปสู่ทางรอด ของผู้ประกอบการไทยและส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนให้เติบโตได้อย่างมั่นคงในยุคปัจจุบัน
ล่าสุดกรมทรัพย์สินทางปัญญา ลงพื้นที่สวนปานเจริญ ศูนย์ชุมชน บ้านหัวอ่าว อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เพื่อตรวจเยี่ยมแหล่งผลิตและพิสูจน์คุณภาพสินค้าฝรั่งสามพราน ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียน GI เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2568
โดยฝรั่งสามพรานมี 7 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์กิมจู พันธุ์สุ่ยมี่ พันธุ์แป้นสีทอง พันธุ์สาลี่ทองไร้เมล็ด พันธุ์หงเป่าสือ พันธุ์เฟิ่นหงมี่ และพันธุ์แตงโม ปลูกในพื้นที่อำเภอสามพรานและอำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ลักษณะทางภูมิศาสตร์เป็นพื้นที่ลุ่มแม่น้ำนครชัยศรีที่พัดพาตะกอนดินและธาตุอาหารต่างๆ มาทับถมกันสภาพน้ำที่มีความกร่อยหรือความเค็มที่พอดี ประกอบกับการมีระบบชลประทานที่ดี ทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก
ฝรั่งสามพรานจึงมีเอกลักษณ์โดดเด่นและเป็นที่นิยมของผู้บริโภค ด้วยความพิเศษของเนื้อที่กรอบล่อน ไม่ติดเมล็ด เนื้อมีสีขาวหรือสีชมพูขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ รสชาติหวานหรือหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย ไม่ฝาด ซึ่งผลผลิตที่ได้จะมีคุณภาพสูงสุดเมื่อปลูกในช่วงฤดูหนาว ฝรั่งสามพรานมีปริมาณผลผลิตกว่า 11,631 กิโลกรัมต่อปี ส่งจำหน่ายในตลาดค้าผลไม้ขนาดใหญ่ ทั้งตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดเมืองทอง ตลาดศรีเมือง รวมทั้งร้านค้าเครือข่าย Lemon Farmและแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ สามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนกว่า 350 ล้านบาทต่อปี ภายหลังจากขึ้นทะเบียน GI แล้ว กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ส่งเสริมการจัดทำระบบควบคุมคุณภาพสินค้า GI ฝรั่งสามพรานอย่างต่อเนื่อง โดยมีกระบวนการตรวจสอบอย่างเข้มข้น
และเมื่อเดือนตุลาคม 2568 ที่ผ่านมาได้ออกหนังสืออนุญาตให้ใช้ตรา GI ไทยแก่ผู้ประกอบการฝรั่งสามพรานที่ยื่นขอใช้ตรา GI และผ่านการตรวจสอบคุณภาพการผลิต 36 ราย ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคว่าจะได้รับสินค้าตรงตามมาตรฐาน GI ที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกรม ตลอดจนส่งเสริมช่องทางการตลาดผ่านห้างสรรพสินค้าชั้นนำและแพลตฟอร์มออนไลน์
ส่งผลให้ปัจจุบันฝรั่งสามพรานมีราคาขายปลีกเฉลี่ย อยู่ที่ 50 – 70 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มขึ้นประมาณ 1.7 – 2.3 เท่า จากช่วงก่อนเป็น GI ที่มีราคาอยู่ที่ 30 บาทต่อกิโลกรัม
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังได้ต่อยอดแปรรูปฝรั่งสามพรานเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อเพิ่มมูลค่า และใช้ประโยชน์จากผลผลิตให้ครบทุกส่วน อาทิ น้ำฝรั่งสกัดเย็น ฝรั่งแผ่นอบกรอบ ชาใบฝรั่ง เป็นต้น ซึ่งล้วนมีรสชาติอร่อย และได้ประโยชน์จากฝรั่งแท้ๆ รวมทั้งพัฒนาสวนปลูกฝรั่งสามพรานให้เป็นศูนย์เรียนรู้และสถานที่ท่องเที่ยว เพื่อดึงดูด นักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชมและได้รู้จักฝรั่งสามพรานเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้นอกจากฝรั่งสามพรานแล้ว จังหวัดนครปฐมยังมีสินค้า GI อีก 3 รายการ ได้แก่ ส้มโอนครชัยศรี มะพร้าวน้ำหอมสามพราน และเนื้อโคขุนกำแพงแสน ซึ่งล้วนเป็นสินค้าสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดนครปฐม
โดยสินค้า GI ทั้ง 4 รายการสามารถสร้างรายได้เข้าสู่ชุมชนรวมกว่า 1,040 ล้านบาทต่อปี
นางอรมน ระบุว่าในปี 2569 กรมมุ่งเน้นการยกระดับมาตรฐานสินค้าและสร้างการยอมรับในวงกว้าง เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยมีแนวทางสำคัญ 5 ด้านได้แก่
- พัฒนาศักยภาพผู้ผลิตสินค้า GI โดยส่งเสริมองค์ความรู้ด้านการผลิต การควบคุมคุณภาพ และการใช้เครื่องหมาย GI อย่างถูกต้อง ตลอดจนเสริมทักษะด้านการบริหารจัดการ การตลาดออนไลน์ การสร้างแบรนด์ การจัดทำเรื่องราวผลิตภัณฑ์ และการใช้กลยุทธ์ทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
- เดินหน้าประชาสัมพันธ์ และส่งเสริมภาพลักษณ์สินค้า GI ไทย โดยใช้สื่อหลากหลายช่องทางทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อสร้างการรับรู้ จุดเด่น และอัตลักษณ์ของสินค้า GI แก่กลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง
- สนับสนุนการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ การแปรรูป และการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยยังคงเอกลักษณ์ของสินค้า GI เพื่อเพิ่มความน่าสนใจและตอบสนองความต้องการของตลาดสมัยใหม่
- ขยายช่องทางการตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยประสานความร่วมมือกับห้างค้าปลีก ตลาดพรีเมียมแพลตฟอร์มออนไลน์ และเครือข่ายพันธมิตรในต่างประเทศ เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าและขยายตลาดใหม่
- บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานภายนอกและระดับนานาชาติ เพื่อสร้างการยอมรับและผลักดันสินค้า GI ไทยเข้าสู่ตลาดสากล อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างรายได้กลับสู่ชุมชนอย่างยั่งยืนต่อไป


